วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

มงคล 38 ประการ : การบูชาบุคคลที่ควรบูชา



นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะฯ

ปูชา จ ปูชนียานํ  เอตมฺมงฺคลมุตฺตมนฺติฯ

ณ บัดนี้ อาตมภาพจักได้แสดงพระธรรมเทศนาในปูชากถา ว่าด้วยเรื่องการบูชาบุคคลท่่ีควรบูชา เพื่อเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา เพ่ิมพูนกุศลบุญราศี ประดับปัญญาบารมีของศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย และเพื่อเป็นการเพิ่มกำลังแห่งศรัทธาคือความเชื่อ ปสาทะคือความเลื่อมใส ในพระรัตนตรัยให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้นไป ในโอกาสที่กิจกรรมเทศน์เวียนในพรรษาได้เวียนมาบรรจบครบรอบปีที่ 54 และในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 12 ตรงกับวันเสาร์ ที่ 29 เดือน กันยายน พ.ศ. 2555 ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักวัดป่าโยธาประสิทธิ์ หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “วัดป่าเกษตร” จะได้น้อมนำเอาหลักธรรมที่ได้รับมอบหมายแล้วนั้น มาบรรยายขยายความให้ท่านสาธุชนทั้งหลายได้สดับรับฟัง ในการณ์นี้ประธานสงฆ์ คือพระครูโสภณธรรมรังสี เจ้าอาวาสวัดป่าโยธาประสิทธิ์และเจ้าคณะอำเภอเมืองสุรินทร์ ธรรมยุต ได้มอบหมายให้อาตมภาพ พระมหาเฉลิมเกียรติ จิรวฑฺฒโน เลขานุการเจ้าคณะอำเภอศีขรภูมิ ธรรมยุต เป็นองค์ธรรมกถึก คือผู้ขึ้นมากล่าวแจ้งแสดงความชัดเจนแห่งพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นธรรมปฏิสันถารและเป็นแนวทางแห่งสัมมาปฏิบัติแด่ท่านทั้งหลาย ที่ได้มาประชุมพร้อมกัน ณ ธรรมสภาแห่งนี้ ตามสมควรแก่เวลาสืบไป
                ก่อน ที่จะนำท่านทั้งหลายเข้าสู่เนื้อหาแห่งธรรมะที่ได้ยกขึ้นเป็นอุเทศในเบื้อง ต้นนั้น อาตมภาพขอหยิบหยกประเด็นธรรมะที่ว่า “มงคล” นั้นเกิดขึ้นมาอย่างไร ใครเป็นผู้นำเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวก่อน ซึ่งประเด็นปัญหานี้ได้สร้างความโกลาหลวุ่นวายเป็นอันมาก ในหมู่ชนผู้คงแก่เรียนในสังคมชุมพูทวีปเมื่อครั้งสมัยพุทธกาล ความปรากฎว่า มนุษย์ชายหญิงในชุมพูทวีปมีการถกเถียงกันว่า อะไรเป็นมงคล บางกลุ่มก็กล่าวว่าหูที่ตนได้ยินเสียงต่างๆ ที่น่าฟัง มีความไพเราะ นี่แหละเป็นมงคล อีกกลุ่มหนึ่งก็กล่าวว่าตาทั้งสองดวงที่สามารถมองเห็นอะไรได้ทั้งที่สวยงาม และไม่สวยนี่แหละเป็นมงคล ทุกคนไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ปัญหานี้ได้แผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แม้เทวดาชั้นภุมเทวดาก็ถูกกระแสแห่งความสงสัยครอบงำเหมือนกัน ได้นำความในโลกมนุษย์ไปแจ้งให้เทพชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายได้ทราบ เทพเหล่านั้นก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ว่า อะไรเป็นมงคลอันสูงสุด ปัญหานี้ได้คุกรุ่นเสมือนมีเมฆหมอกมาปิดบังดวงปัญญาของมนุษย์และเหล่าเทพ ทั้งหลายเอาไว้  ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมาถึง 12 ปี 
              ขณะนั้นพระพุทธเจ้าได้อุบัติเกิดขึ้นในโลกแล้ว ท้าวสักกะผู้จอมราชันย์แห่งเทพ (พระอินทร์) ได้ตรัสถามหมู่เทพที่มาเฝ้าว่า พวกท่านได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหรือยัง เมื่อทรงทราบว่ายัง จึงได้ทรงตำหนิว่าพวกท่านได้ล่วงเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงแสดงมงคลแล้ว กลับมาถามเรา เป็นเหมือนทิ้งไฟเสีย แล้วมาถือเอาไฟที่ก้นหิ้งห้อย ตรัสแล้วชวนกันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่พระวิหารเชตวัน  ใกล้กรุงสาวัตถีในแคว้นโกศล  ถวายบังคมแล้วยืนอยู่  ณ  ที่ควร  ท้าวสักกะทรงมอบหมายให้เทวดาองค์หนึ่งเป็นผู้ทูลถามเรื่องนี้ ในเวลานั้นเทพเจ้าในหมื่นจักรวาล เนรมิตกายให้ละเอียดมาแออัดประชุมกัน  เพื่อมงคลปัญหาในที่นั้นด้วย จนพระเชตวันสว่างไสวไปทั่วด้วยรัศมีกายของเทวดาเหล่านั้น  ถึงกระนั้นก็มิอาจบดบังพระรัศมี ซึ่งเปล่งออกจากพระกายของพระพุทธเจ้าได้ เทวดาองค์ที่ได้รับมอบหมายให้ทูลถามมงคลปัญหากะพระพุทธเจ้า ได้ทูลถามปัญหากะพระพุทธเจ้าว่า "เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมากหวังอยู่ซึ่งความสวัสดี  ได้พากันคิดสิ่งที่เป็นมงคล (แต่ไม่อาจคิดได้)  ขอพระองค์โปรดตรัสบอกอุดมมงคล" พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสให้ทราบว่า มงคลมีอยู่ 38 มงคล  ด้วยพระคาถา 10 คาถาใน มงคลสูตร ตามลำดับ คำว่า มงคล หมาย ถึง อุดม รุ่งเรือง ดีเลิศ และการบูชาบุคคลที่ควรบูชาก็จัดเป็นมงคลอันสูงสุดเหมือนกัน ซึ่งปรากฏในมงคลสูตร คาถาที่ 1 ข้อที่ 3 ซึ่งจะได้กล่าวในลำดับต่อไป

ความหมาย
             บูชา คือการแสดงความเคารพ การยกย่องเชิดชู ด้วยความเลื่อมใส ที่แสดงออกทางกาย วาจา และใจ อย่างบริสุทธิ์ ไม่มีอารมณ์อย่างอื่นมาเจือปนให้จิตหวั่นไหวได้

             การบูชา มี 2 ประเภท คือ :- 
             อามิสสะปูชา  หมายถึง การบูชาด้วยอามิสสิ่งของและ 
               ปฏิบัติปูชา  หมายถึง การบูชาด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

            การบูชา มี 3 ลักษณะ คือ :-
           ปัคคัณหะปูชา หมายถึง การบูชาด้วยการยกย่อง
           สักการะปูชา หมายถึง การบูชาด้วยเครื่องสักการะต่างๆ
                        สัมมานะปูชา หมายถึง การบูชาด้วยการยอมรับนับถือ
การบูชา ถือเป็นกิริยาที่แสดงออกถึงความเคารพต่อบุคคล สถานที่ และสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล เช่น หลักคำสอน รูปเหมือน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ หรือแม้แต่พระบรมธาตุฯ และการบูชาที่ได้กระทำนั้น ต้องเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมจริงๆ การบูชานั้นจึงจะมีผลอันอุดม สมดังพระบาลีที่ปรากฎในมงคลสูตรซึ่งอาตมภาพได้ยกขึ้นเป็นอุเทศเบื้องต้นว่า ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ความว่า การบูชาบุคคลทีี่ควรบูชาถือเป็นมงคลอันสูงสุด ที่กล่าวว่าเป็นมงคลอย่างสูงสุดนั้น  สูงสุดด้วยลักษณะแห่งการกระทำอยู่ ๓ อย่าง ที่กล่าวในเบื้องต้น คือ 
             1. ปัคคัณหะปูชา คือ การบูชาด้วยการกล่าวยกย่อง สรรเสริญ ในคุณธรรมของผู้นั้นให้เป็นที่ปรากฏ ไปที่ไหนก็มีการกล่าวถึงอยู่ตลอดเวลา เหมือนที่ญาติโยมได้ระลึกนึกถึงบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ยิ่งถ้าเราทราบความหมายว่าท่านหมายถึงอะไร ก็ยิ่งเพิ่มความศรัทธาในองค์พระรัตนตรัยมากเท่านั้น เหมือนคำกล่าวของครูบาอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านมักกล่าวว่า “คุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จะสวดกี่ครั้งกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้จักเบื่อ เพราะเชื่ออย่างสนิทใจแล้วว่าพระรัตนตรัยมีจริง มีคุณต่อหมู่สัตว์ผู้เร่าร้อนด้วยเพลิงกิเลสจริง” 
             2. สักการะปูชา คือ การบูชาด้วยเครื่องสักการะ มีดอกไม้ ธูป เทียน หรือของหอมที่โลกนิยมในปัจจุบันเพื่อนำมาบูชา แม้แต่เปลวเพลิงซึ่งถูกจุดที่เทียนก็เป็นการบูชาชนิดหนึ่งที่มีความเชื่อว่า ถ้าใครได้บูชาแล้วจะก่อให้เกิดปัญญา การแสดงความเคารพด้วยเครื่องสักการะเป็นการบูชาที่สามารถทำได้ง่ายที่สุด เพราะไม่ต้องอาศัยความพากเพียรอะไรมาก วัตถุดิบที่เป็นเครื่องบูชาในปัจจุบันก็มีพร้อม ในเมืองมีห้างร้านที่ในบริการเกี่ยวกับเครื่องสังฆภัณฑ์เยอะ ทั้งนี้อุบาสก-อุบาสิกาต้องมีปัญญาในการบูชาเช่นเดียวกัน  มิเช่นนั้นก็จะเป็นการบูชาแบบหลงงมงาย  ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะว่าญาติโยมทั่วไปไม่ค่อยจะเข้าวัดสักเท่าไหร่ หรือไม่ค่อยได้ทำบุญกับพ่อแม่เท่าที่ควร วันดีคืนดีตัวเองนอนหลับฝันไม่ดี ฝันว่าแม่ตาย หรือตัวเองถูกคนฆ่าตาย ตื่นเช้ามารู้สึกไม่ค่อยดี จิตใจหดหู่ ยิ้มก็ไม่ค่อยออก คิดได้ว่าการไปถวายสังฆทานที่วัดมันจะช่วยได้ สิ่งที่ได้คือโยมได้ให้ ได้เสียสละทรัพย์ของตนกับผู้อื่นที่เราเชื่อว่าท่านปฏิบัติดี ผลตรงนี้ได้แผ่ขยายมาถึงจิตใจของเรา เกิดความสุขความร่าเริง ที่จริงพระท่านไม่ได้ให้อะไรเราหรอก ท่านก็รับเฉยๆ พรที่ท่านให้ก็พูดแบบนี้กันกับทุกคนที่ไปถวายสังฆทาน อำนาจแห่งการบูชาด้วยเครื่องสักการะมีผลมาก ดังนิทานในธรรมบทเรื่องเทพธิดาผู้ทำบุญด้วยดอกบวบสีเหลืองตอนหนึ่งว่า มีหญิงสาวผู้หนึ่ง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทห่างไกล มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระรัตนตรัย กลับจากการทำงาน ระหว่างทางเห็นดอกบวบกำลังบานใหม่ มีสีเหลืองสด  นางได้เก็บดอกบวบด้วยความเพลิดเพลินใจ พร้อมกับคิดในใจว่าเราจะนำดอกบวบนี้ไปบูชาพระ ระหว่างทางที่นางเดินไปจิตก็คิดถึงแต่เรื่องการถวายดอกไม้พระ ทันใดนั้นเองวัวตัวผู้เดินสวนทางมาพอดี ด้วยวิบากกรรมที่เคยกระทำระหว่างกัน ทำให้นางถูกวัดขวิดที่ระหว่างอกด้วยเขาอันแหลมคม นางสิ้นใจทันทีในมือยังถือดอกไม้ที่จะไปถวายพระไว้เน้น  ด้วยอำนาจแห่งจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย และขณะจิตที่คิดจะนำดอกบวบสีเหลืองไปถวายพระนี้ ส่งผลให้นางไปจุติในเทวสถานวิมานทอง ที่ประดับประดาเหมือนดังสีแห่งดอกบวบเหลืองทันที
3. สัมมานะปูชา คือ การบูชาด้วยการยอมรับ หรือถ้าจะพูดภาษาง่ายๆ ก็คือการมีใจให้กัน ข้อนี้จะตรงกับคำว่าการบูชาต้องมีศรัทธามาก่อน ถ้าไม่มีศรัทธาจะไม่สามารถทำการบูชาได้เลย ดังความปรากฏเป็นพุทธภาษิตใน สังยุตตนิกาย สัคคาถวรรค 15/50 ว่า สทฺธา สาธุ ปติฏฺฐิตา แปลได้ความว่า ศรัทธาตั้งมั่นแล้ว ยังประโยชน์ให้สำเร็จ สมัยโบราณเวลาจะสอนหรือถ่ายทอดวิชาความรู้ใดๆ ให้กับลูกศิษย์ จะต้องมีการตั้งครูเสียก่อน เพื่อให้ผู้ที่จะเรียนนั้นได้แสดงเจตจำนงค์ที่แท้จริงว่า ตนเองมีศรัทธา ยอมปฏิบัติตามคำสั่งสอนครูทุกอย่าง ไม่โต้เเย้งหรือคัดค้านในหลักคำสอน และถ้าใครสามารถปฏิบัติได้จริงก็จะประสบผลสำเร็จ ลักษณะเช่นนี้เป็นการบูชาด้วยการยอมรับ  ในปัจจุบันนี้เราขาดการบูชาในลักษณะนี้มาก เราอ้างตนว่าเป็นผู้มีความรู้ คงแก่เรียน มีประสบการณ์ชีวิตมามาก เคยเป็นใหญ่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน  มีคนนับหน้าถือตาในสังคมมาก  ไปไหนมาไหนมีคนให้การตอนรับ กำแพงความคิดเหล่านี้เองที่คอยขวางกั้นจิตใจของเรา  ไม่ให้ยอมรับอะไรง่ายๆ บ้างก็อ้างว่าพุทธเจ้าให้ใช้หลักกาลามสูตร คืออย่าเชื่ออะไรง่ายๆ  ซึ่งในหลักความเป็นจริงที่เรากำลังประสบอยู่นี้นั้นมันใช้หลักการนัั้นไม่ ได้  เพราะเรากำลังจะตกเหวคือความมืดบอดอยู่แล้วน่ะ ดังนั้นเราต้องเปิดใจให้กว้างยอมรับกับสิ่งบางอย่างที่เราเชื่ออยู่ในใจลึกๆ ว่าจะช่วยเราได้ คือเป็นที่พึ่งเราได้ ฉะนั้นการที่เราจะบูชาอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบูชาพระรัตนตรัย พระบรมธาตุ หรือพระเครื่องต่างๆ เราต้องมีใจที่ศรัทธาเลื่อมใสมาก่อนแล้ว  หรือยังไม่มีศรัทธามาก่อนแต่เคยได้ประสบกับเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ตน เชื่ออย่างสนิทใจว่า เหตุการณ์เหล่านี้มีอยู่จริง จึงจะเกิดผล ยกตัวอย่างเช่น พระปัญจวัคคีย์ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรมเทศนาของพุทธเจ้านั้น ในใจของทุกคนได้นึกว่าเราจะไม่ปฏิบัติรับใช้สมณะโคตม จะพูดอะไรพวกเราก็จะไม่ฟังไม่ยอมรับ แต่เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึง เพราะความที่ตนเคยปฏิบัติหน้าที่รับใช้มาตลอดก็ทำให้ลืมข้อตกลงที่ได้ตกลง กันไว้สนิท  และเมื่อฟังธรรมจักรกัปปวัตนสูตรที่พุทธองค์ทรงตรัสก็ยิ่งเลื่อมใส  เพราะพระดำรัสเช่นนี้พวกตนไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เมื่อฟังธรรมจบลงโกณฑัญญะดาบสก็ได้ดวงตาเห็นธรรมทันที
                 จากลักษณะการบูชาที่กล่าวมา ถ้ากล่าวโดยประเภทแล้วมี 2 ประเภท คือ อามิสบูชา เป็น การบูชาที่ต้องอาศัยวัตถุ เช่นการให้สิ่งของ ดอกไม้ ของหอม หรืออาหาร นับเป็นการบูชาที่ทุกคนสามารถทำได้ สะดวกเวลาไหนก็สามารถทำได้ แม้การเข้าวัดทำบุญตักบาตร และถวายสังฆทานก็จัดเป็นอามิสบูชา ซึ่งพุทธองค์ตรัสว่า เพียงแค่การบูชาแบบนี้ก็มีผลมากสำหรับอุบาสก-อุบาสิกา เพราะถือว่าเป็นการขวนขวายที่ต้องอาศัยความพากเพียรมาก และปฏิบัติบูชา ซึ่ง ถือเป็นการบูชาที่ยิ่งใหญ่ และพุทธองค์กล่าวว่าเป็นยอดแห่งการบูชา เพราะการบูชาเเบบนี้สามารถช่วยธำรงค์หลักคำสอนของพระพุทธองค์ให้คงอยู่ได้ ตลอด เป็นการบูชาที่เหมาะสำหรับฝ่ายบรรพชิต ฝ่ายอุบาสก-อุบาสิกาจะบูชาด้วยการปฏิบัติบูชาก็ได้ ในปัจจุบันนี้การบูชาแบบที่สองนี้มีความหย่อนยานมาก สาเหตุเพราะเราลืมหน้าทีี่ของตนเอง เมื่อลืมหน้าที่ของตนเองนานเข้า ก็นำไปสู่การไม่ใส่ใจหลักธรรมหลักวินัย จึงปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับพระสงฆ์ตามสื่อต่างๆ อยู่เป็นประจำ 
บุคคลที่ควรบูชา
                การบูชานั้น เราบูชาที่ตัวบุคคล กับ บูชาคุณงามความดีของบุคคล ในการบูชาบุคคลนั้นนักปราชญ์ราชบัณฑิตได้แบ่งบุคคลไว้ 3 พวก ด้วยกัน คือ 
                บุคคลที่สูงด้วยชาติ (ชาติวุฒิ) เป็นผู้มีที่มีชาติกำเนิดสูง เช่น พระเจ้าจักรพรรดิ์ พระราชา พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆ พระองค์
  บุคคลที่สูงด้วยวัย (วัยวุฒิ) เป็นผู้ที่เกิดก่อนเรา ท่านเหล่านี้เป็นผู้อาบนำ้ร้อนมาก่อนย่อมได้รับการเรียนรู้มาก่อน มี ปู่-ย่า, ตา-ยาย, พ่อ-แม่, พี่ ป้า น้า อา หรือแม้แต่รุ่นพี่ เป็นต้น
                บุคคลที่สูงด้วยคุณ (คุณวุฒิ) เป็นผู้ท่ีประพฤติปฏิบัติธรรม หรือมีการศึกษาที่สูงพร้อมทั้งมีความประพฤติที่ดีควบคู่กัน เช่น ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ พระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
ซึ่ง บุคคลทั้ง 3 กลุ่มนี้ เราสามารถกระทำการบูชาได้ทั้งสองอย่าง คือแบบอามิสบูชาและแบบปฏิบัติบูชาไปพร้อมๆ กันได้  ในพระสุตตันตะปิฎก ขุททะกะนิกาย ธรรมบท เล่มที่ 18 ข้อที่ 303 ย่อหน้า 326 พระพุทธเจ้าทรงตรัสเกี่ยวกับบุคคลที่ควรบูชาไว้ คือ ผู้มีศรัทธาเชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้มีศีลบริสุทธิ์ 
บุคคลที่สมควรสร้างสถูปไว้บูชา (ถูปารหบุคคล)
                บุคคล ที่ควรบูชา คือ บุคคลที่มีคุณงามความดี ควรค่าแก่การระลึกถึง และยึดถือเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติตาม มีอยู่ด้วยกันจำนวนมาก เช่น พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พ่อ แม่ ฯลฯ อย่างไรก็ดีพระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงบุคคลที่สมควรแก่การสร้างสถูปบูชาไว้เพียง 4 จำพวก ได้แก่
                1. พระพุทธเจ้า เหตุ ที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถุปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถุป)นั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
2. พระปัจเจกพุทธเจ้า เหตุ ที่พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
                3. พระอรหันต์ เหตุ ที่พระสาวกของพระพุทธเจ้าทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
                4. พระเจ้าจักรพรรดิ์ เหตุ ที่พระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงเป็นถูปารหบุคคลจำพวกหนึ่งนั้น ทรงมีพุทธาธิบายว่า เมื่อมหาชนยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี่เป็นสถูปของพระธรรมราชาผู้ทรงธรรมนั้น พวกเขายังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
เจดีย์ที่ควรกระทำการบูชาในพุทธศาสนา
              1. พระธาตุเจดีย์ คือ เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุอรหันต์ เช่นพระธาตุพนม พระดอยสุเทพ ภูเขาทอง พระปฐมเจดีย์ เป็นต้น
              2. พระธรรมเจดีย์ คือ เจดีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรจุพระธรรมวินัย เช่น พระไตรปิฎก หนังสือธรรม เป็นต้น
                3. บริโภคเจดีย์ คือ สถานที่หรือสิ่งของทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เช่น สังเวชนียสถานทั้ง 4 ตำบล ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธบริขาร รอยพระพุทธบาท เป็นต้น
                4. อุเทสิกเจดีย์ คือ วัตถุที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระรัตนตรัย โดยไม่มีการกำหนดรูปแบบที่ชัดเจน เช่น พุทธรูป พระเครื่อง เป็นต้น
อานิสงส์การบูชาบุคคลที่ควรบูชา
            
๑. ยังสัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น
              ๒. ยังสัมมาทิฏฐิที่เกิดขึ้นแล้ว ให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
              ๓. ทำให้มีกิริยามารยาท สุภาพอ่อนโยน น่ารักน่านับถือ
              ๔. ทำให้จิตใจผ่องใส เพราะตรึกอยู่ในกุศลธรรมเสมอ
              ๕. ทำให้สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ขึ้น เพราะมีความสำรวมระวังเป็นการป้องกันความประมาท
              ๖. ป้องกันความลืมตัวความหลงผิดได้ เพราะตระหนักอยู่เสอมว่าผู้ที่มีคุณธรรมสูง กว่าตนยังมีอยู่
              ๗. ทำให้เกิดกำลังใจและอานุภาพอย่างมหาศาล สามารถคุ้มครองป้องกันตนให้พ้นจากอุปสรรคและภัยพาลต่างๆ ได้
             ๘. เป็นการกำจัดคนพาลให้พินาศไปโดยทางอ้อม เพราะมีแต่คนบูชาบัณฑิตผู้มีคุณธรรม
             ๙. เป็นการเชิดชูบัณฑิตให้สูงเด่น ทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญกรณียกิจได้สะดวกกว้างขวางยิ่งขึ้น
เมื่อท่านทั้งหลายทราบแล้วว่า บุคคลท่ีเราควรบูชาและแสดงความนับถือนั้นมีใครบ้าง และ อาการกิริยาที่เราต้องแสดงออกเกี่ยวกับการบูชาเราก็ได้ทราบแล้ว แม้กระทั่งการบูชาแบบไหนที่มีผลมากพระพุทธองค์ก็ได้กล่าวไว้หมด แล้วถ้าเราไม่แสดงการบูชาหละจะมีโทษอะไรไหม ใน มังคลัตถทีปนี เล่ม 4 หน้า 3 ความตอนหนึ่งว่า ระหว่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่สุภมาณพอยู่นั้น ได้ตรัสว่า 
“...มาณพ  สตรีหรือบุรุษบางคนในโลกนี้  เป็นผู้กระด้าง (เย่อหยิ่ง)  ถือตัวจัด  ไม่กราบไหว้บุคคลผู้ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับบุคคลผู้ควรลุกรับ ไม่ให้อาสนะแก่บุคคลผู้ควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่บุคคลผู้ควรแก่ทาง ไม่สักการะบุคคลผู้ควรสักการะ ไม่ทำความเคารพผู้ที่ตนควรทำความเคารพ  ไม่นับถือบุคคลผู้ที่ตนควรนับถือ ไม่บูชาบุคคลผู้ที่ตนควรบูชา บุคคลนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันตนให้บริบูรณ์แล้วอย่างนั้น  สมาทานแล้วอย่างนั้น  หากบุคคลนั้นไม่เข้าถึงอบายทุคติ  วินิบาต  นรก  เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกไซร้  ถ้าเขามาสู่ความเป็นมนุษย์  เกิดในที่ใด ๆ ในภายหลัง  ก็จะเป็นผู้มีตระกูลต่ำในที่นั้นๆ  มาณพข้อที่บุคคลเป็นผู้กระด้าง  ถือตัว  ฯลฯ   ไม่บูชาบุคคลที่ควรบูชาเป็นปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีสกุลต่ำ…”
                  เมื่อ เราทราบอย่างนี้แล้วก็ควรที่จะกระทำการบูชาบุคคลที่ควรบูชา ทั้งนี้โดยผ่านสื่อกลางคือคุณงามความดีของบุคคลที่เราทำการบูชา เปรียบเสมือนการอาบนำ้ที่ทุกคนต้องอาบ เราไม่อาบนำ้ก็ได้จะเป็นวันหรือเป็นอาทิตย์ก็ได้ แต่เราสามารถทนอยู่ได้หรือไม่ และเวลาพบปะผู้คนเขาจะทนกลิ่นเราได้ไหม การเป็นคนที่ไม่มีการบูชาอะไรเลยก็เหมือนกัน  แต่ทั้งนี้ใช่ว่าเราจะบูชาทุกอย่าง เราก็ต้องมีสิ่งทีี่ควรเว้นเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เราไม่ควรบูชาก็มี ดังนี้

สิ่งที่ไม่ควรบูชา
              1. คนพาล คือไม่ยกย่อง ไม่เชิดชู ไม่สรรเสริญ ไม่สนับสนุน ในฐานะต่างๆ
              2. สิ่งที่เนื่องด้วยคนพาล เช่นรูปภาพ รูปป้ัน ผลงาน ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
             3. สิ่งที่บูชาแล้วไม่เกิดสิริมงคล เช่นรูปภาพดารา นักร้อง และสื่อที่มุ่งไปทางอบายมุขทั้งหลาย
              4. สิ่งที่บูชาแล้วโง่ เช่นต้นไม้ใหญ่ ภูเขาสูง อาราม เพราะบูชาแล้วไม่ก่อให้เกิดปัญญา
              การบูชาบุคคลที่ควรบูชานั้น เปรียบเสมือนกล้าไม้ที่ยังเล็กอยู่  เมื่อเรานำไปปลูกจำเป็นต้องมีหลักค้ำไม่ให้ล้ม เพราะรากจะขาด หรือตายก่อนฉันใด  ผู้ที่หวังความเจริญก้าวหน้า ก็จำเป็นต้องบูชาบุคคลที่ควรบูชาไว้เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต  เป็นหลักใจ  เป็นเครื่องป้องกันความเห็นผิดและมิให้อกุศลกรรมต่างๆ กลับมากำเริบขึ้นอีกฉันนั้น บุคคลที่จะกระทำการบูชาได้นั้น ในเบื้องต้นต้องมีธรรมะเกิดขึ้นในใจก่อนเสมอ คือทุกคนได้เห็นความทุกข์ ที่มาก่อกวนใจอยู่ตลอดเวลา จากการมีทุกข์มากก็ทำให้เกิดปัญญา แต่ถ้าแก้ไม่ได้ก็จะเกิดปัญหาทันที มีความรู้ว่าความทุกข์ที่มีอยู่ตนจะต้องแก้ไขอย่างไร นั่นหมายความว่าเราต้องดูบุคคลต้นแบบ เรียกว่าผู้ควรแก่การบูชา ก็จะทำให้เราเกิดความศรัทธา เลื่อมใสในแนวทางการปฏิบัติ ซึ่งในที่สุดก็นำเราไปสู่ความสุข สภาวะ เหล่านี้เป็นธรรมะที่มาปรากฏให้เราได้เห็นอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเราไม่สามารถแยกออกได้่ว่ามันคืออะไรบ้าง เพื่อเป็น    ปุคลาธิษฐานอาตมภาพขอยกนิทานที่ปรากฏในคัมภีร์มงคลทีปนี ซึ่งรจนาโดยพระสิริมังคลาจารย์มาสาธกให้สาธุชนทั้งหลายได้สดับ ดำเนินความว่า
                  เมือง ราชคฤห์ มีช่างร้อยดอกไม้ชื่อนายสุมนะ ได้นำดอกมะลิถวายพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์เมืองราชคฤห์ทุกวันๆ ละ ๘ ทะนาน ท้าวเธอก็พระราชทานทรัพย์ให้วันละ ๘ กหาปณะตอบแทนมิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่งนายสุมนะไปเก็บดอกมะลิแล้วกลับมา ระหว่างทางได้พบพระพุทธเจ้ากับหมู่สงฆ์เข้าไปในเมืองเพื่อจะบิณฑบาตโปรด สัตว์ นายสุมนะมีจิตศรัทธาเลื่อมใส คิดจะถวายดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้า ขณะนั้นได้คิดว่า เมื่อเราไม่ได้ถวายดอกไม้แก่พระราชาพระองค์จะทรงกริ้ว แล้วลงโทษมีอาญาเป็นประการใดก็ตามเถิด อานิสงส์ที่เราบูชาแก่พระพุทธเจ้านี้มีผลอันประเสริฐทั้งในชาตินี้และชาติ หน้า ถ้าเราพึงถวายแก่พระราชาก็จะมีผลเพียงแต่ในชาตินี้ คิดเช่นนั้นแล้วก็เกิดมีจิตยินดีศรัทธาในการทำพุทธบูชา นายสุมนะจึงกำเอาดอกมะลิสองกำมือโยนขึ้นไปในอากาศ ในการโยนแต่ละครั้งนั้นปรากฏว่า ครั้งแรกดอกมะลิก็แผ่เป็นตาข่ายอยู่เบื้องบนของพระพุทธเจ้า ครั้งที่สองนั้นก็แผ่เป็นตาข่ายอยู่เบื้องขวาของพระพุทธองค์ ดอกไม้สองกำมือที่โยนไปครั้งที่ ๓ นั้นก็แผ่เป็นตาข่ายอยู่เบื้องซ้าย ดอกไม้สองกำมือที่โยนไปครั้งที่ ๔ นั้นก็แผ่เป็นตาข่ายอยู่เบื้องหลัง ดังนั้นตาข่ายดอกมะลิจึงล้อมองค์ของพระพุทธเจ้าอยู่ ๔ ด้านเปิดเฉพาะด้านหน้า พระองค์เสด็จไปถึงไหนตาข่ายดอกไม้ทั้ง ๔ ด้าน ก็ลอยตามพระองค์ไปถึงที่นั่น ผันก้านเข้าข้างในผันดอกออกข้างนอกทั้งสิ้นเป็นอัศจรรย์ดังนี้ ชาวเมืองทั้งหลายได้เห็นแล้วก็พากันเลื่อมใสกราบไหว้บูชาศรัทธาในพุทธคุณกัน ทั่วหน้า
                   ฝ่าย นายสุมนะก็เกิดความปิติยินดีในเครื่องสักการบูชาของตนแล้วก็กลับบ้าน เล่าเรื่องที่ได้ทำพุทธบูชาให้่ภรรยาฟัง ฝ่ายภรรยาเป็นผู้ไร้ปัญญาจึงไม่มีความยินดีอนุโมทนา กลับโกรธด่าว่าให้แก่สามี แล้วพาบุตรไปเฝ้า  พระเจ้าพิมพิสารกราบทูลถึงเหตุการณ์ที่สามีได้นำดอกไม้ที่ควรจะนำมาถวายแก่ พระราชาไปบูชาแด่พระพุทธเจ้า หญิงนั้นก็ออกตัวกลัวความผิด กราบทูลแก่พระราชาว่า อันการกระทำของนายสุมนะนั้นจะบังเกิดในทางดีก็ตาม ในทางร้ายก็ตาม ข้าพเจ้าจะไม่ขอรับด้วย ข้าพเจ้าขอหย่าขาดจากนายสุมนะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระราชาเป็นผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ดำริว่าหญิงผู้นี้เป็นพาล หาความศรัทธาปสาทะในพระรัตนตรัยมิได้ แต่ก็แสร้งทำเป็นพิโรธ แล้วตรัสกับหญิงนั้นว่า ดีละที่เจ้าหย่าขาดจากสามี ตัวเราจะรู้กิจอันควรทำอย่างสาสมต่อนายสุมนะเอง จึงส่งหญิงนั้นกลับไป ส่วนพระราชาก็เสด็จออกไปต้อนรับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงรู้ว่าพระเจ้าพิมพิสารมีพระทัยเลื่อมใสในการบูชา พระศาสดาทรงมีพระกรุณาจะสงเคราะห์แก่นายสุมนะ ทรงส่งบาตรให้พระเจ้าพิมพิสารแล้วเสด็จทรงประทับนั่งที่หน้าพระลาน พระเจ้าพิมพิสารก็ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงกระทำภัตตกิจแล้วก็ตรัสอนุโมทนาทานแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิ สารแล้วก็ถวายพระพรลากลับสู่วัดเวฬุวัน ดอกไม้ทั้งหลายเหล่านั้นก็ล้อมพระองค์มาตราบเท่าถึงพระวิหาร ดอกไม้จึงได้ตกเรี่ยรายอยู่ที่ซุ้มพระทวารนั่นแล
                   ครั้ง นั้นพระเจ้าพิมพิสารมีพระทัยเลื่อมใสในการทำพุทธบูชาจึงรับสั่งหานายสุมนะ เข้ามารับพระราชทานทรัพย์ทั้งหลาย ๗ สิ่ง สิ่งละ ๘ คือ ช้าง ๘ ม้า ๘ ข้าหญิง ๘ ข้าชาย ๘ นารีรูปงาม ๘ บ้านส่วย ๘ เงิน ๘ พันกหาปณะ นายสุมนะได้รับพระราชทานทรัพย์เป็นอันมากด้วยผลที่ทำพุทธบูชา พระอานนท์เถระจึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า นายสุมนะกระทำพุทธบูชานี้จะมีผลอานิสงส์ไปในภายภาคหน้าเป็นประการใด พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูกรอานนท์ นายสุมนะกระทำพุทธบูชาครั้งนี้เท่ากับเป็นการสละชีวิตบูชาตถาคต เพราะว่าขณะนำดอกไม้มาบูชามิรู้ว่าพระราชาจะลงโทษหรือไม่ประการใด ด้วยกุศลนี้ต่อไปในภายหน้านายสุมนะจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิตลอดถึงแสนกัป จะรื่นเริงบันเทิงเสวยสุขอยู่แต่ในมนุษย์โลกและเทวโลกเท่านั้น ครั้นในชาติสุดท้ายจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า มีนามว่าพระสุมนะ เข้าสู่พระนิพพานเป็นที่สุด ดังนี้
ดังนั้น การบูชา คือ การยกย่อง เลื่อมใส ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เสแสร้งแกล้งทำ นั่นหมายถึง กิริยาอาการสุภาพที่แสดงต่อผู้ที่ควรบูชาทั้งต่อหน้าและลับหลัง เป็นอุบายในการฝึกตนเองให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เป็นคนกระด้าง ถือตัว เย่อหยิ่งจองหอง ซึ่งมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ การยกย่อง การสักการะ และการนอบน้อม ในทางปฏิบัตินั้นมี 2 วิธี คือ การบูชาด้วยสิ่งของ เรียกว่า อามิสบูชา และ การบูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสอน หรือตามแบบอย่างที่ท่านได้วางไว้ เรียกว่า ปฏิบัติบูชา ซึ่งอย่างหลังนี้พระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นการบูชาที่มีผลมาก ส่งผลให้พระพุทธศาสนามีความมั่นคงและยั่งยืน ถ้าท่านใดประสงค์และปรารถนาที่จะอบรมตนเองให้เป็นคนดี โดยมีบุคคลต้นแบบ เหมือนเด็กนักเรียนถ้าอยากจะเก่งมีคุณภาพในอนาคต ต้องมีคุณครูที่เก่งและมีคุณธรรมคอยเป็นพี่เลี้ยง อุบาสก-อุบาสิกาก็เช่นเดียวกัน ถ้ามุ่งหวังความเจริญในชีวิตของตนก็ต้องบูชาบุคคลที่ควรบูชา มีนัยดังได้อรรถาธิบายมา
                เทศนาปริโยสาเน  ในกาลสิ้นสุดลงแห่งพระธรรมเทศนานี้  ระตะนัตตะยานุภาเวนะ  ระตะนัตตะยะเตชะสา ขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่ท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมาแล้วตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันสมัย จงมารวมกันเป็นมหัตเดชานุภาพ สนับสนุนส่งเสริมให้ท่านทั้งหลาย ถึงพร้อมด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนะสารสมบัติ ธรรมะสารสมบัติ คิดนึกปรารถนาสิ่งใดที่ชอบประกอบไปด้วยธรรมแล้วไซร์ ขอให้ความปรารถนานั้นๆ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ จงพลันสำเร็จ ทุกประการ
แสดงพระธรรมเทศนาในปูชากถา พอสมควรแก่เวลา  ขอสมมติยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓  
พระสุตตันตะปิฎก เล่มที่ ๑๕ 
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต 
อัคคิสูตร 
ว่าด้วยเรื่องไฟ (บูชายัญ)
สังคม อินเดียสมัยก่อนมีความเชื่อว่า การบูชายัญเป็นการบูชาที่มีผลมาก เพื่อเป็นเกร็ดความรู้เสริมให้กับญาติธรรมทั้งหลาย จึงนำนิทานชาดกมาประกอบไว้ท้ายเนื้อหา คือ
สมัย หนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนคร   สาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อุคคะตะสะรีระพราหมณ์ตระเตรียมมหายัญ โคผู้ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคเมีย ๕๐๐ แพะ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ถูกนำเข้าไปผูกไว้ที่หลักเพื่อบูชายัญ ลำดับนั้น อุคคะตะสะรีระพราหมณได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ได้ฟังมาว่า การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงส์มาก แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ แม้ครั้งที่ ๓ อุคคะตะสะรีระพราหมณ์ก็ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ แม้เราก็ได้ฟังมาว่า การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้อความทั้งหมดของข้าพระองค์ สมกันกับข้อความของท่านพระโคดม ฯ
เมื่อ อุคคะตะสะรีระพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวกะอุคคะตะสะรีระพราหมณ์ว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านไม่ควรถามพระตถาคตอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า การก่อไฟ การปักหลักบูชายัญ มีผลมาก มีอานิสงส์มาก แต่ท่านควรถามพระตถาคตอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์ประสงค์จะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดตักเตือนสั่งสอนข้อที่จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่ข้าพระองค์เถิด ลำดับนั้น อุคคะตะสะรีระพราหมณได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ประสงค์จะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญขอท่านพระโคดมโปรดตักเตือนสั่งสอนข้อที่จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขตลอดกาลนาน แก่ข้าพระองค์เถิด ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นย่อมเงื้อศาตรา ๓ ชนิด อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ศาตรา ๓ ชนิดเป็นไฉน คือ ศาตราทางกาย ๑ ศาตราทางวาจา ๑ ศาตราทางใจ ๑ ดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว ย่อมเกิดความคิดอย่างนี้ว่าต้องฆ่าโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคผู้เท่านี้ตัวลูกโคเมียเท่านี้ตัว แพะเท่านี้ตัว แกะเท่านี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาคิดว่าจะทำบุญแต่กลับทำบาป คิดว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล คิดว่าจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ ดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว ย่อมเงื้อศาตราทางใจข้อที่ ๑ นี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไรมีทุกข์เป็นวิบาก ฯ
อีก ประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นที่เดียว ย่อมกล่าววาจา (สั่ง) อย่างนี้ว่า จงฆ่าโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคผู้เท่านี้ตัว ลูกโคเมียเท่านี้ตัว แพะเท่านี้ตัว แกะเท่านี้ตัว เพื่อบูชายัญ เขาสั่งว่าจะทำบุญกลับทำบาป เขาสั่งว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล เขาสั่งว่าจะแสวงหาทางสุคติกลับแสวงหาทางทุคติ ดูกรพราหมณ์ เมื่อบุคคลจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องต้นทีเดียว ย่อมเงื้อศาตราทางวาจาข้อที่ ๒ นี้ อันเป็นอกุศลมีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก ฯ
อีก ประการหนึ่ง บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญเบื้องต้นทีเดียว ย่อมลงมือด้วยตนเองก่อน คือต้องฆ่าโคผู้ ลูกโคผู้ ลูกโคเมียแพะ แกะ เพื่อบูชายัญ เขาลงมือว่าจะทำบุญ กลับทำบาป ลงมือว่าจะทำกุศล กลับทำอกุศล ลงมือว่าจะแสวงหาทางสุคติ กลับแสวงหาทางทุคติ ดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องต้นทีเดียวย่อมเงื้อศาตราทางกายข้อที่ ๓ นี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากดูกรพราหมณ์ บุคคลเมื่อจะก่อไฟ ปักหลักบูชายัญ ในการบูชายัญ เบื้องต้นทีเดียว ย่อมเงื้อศาตรา ๓ อย่างนี้ อันเป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากดูกรพราหมณ์ ท่านพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟ ๓ กองนี้ ๓ กองเป็นไฉน  ไฟคือราคะ ๑ ไฟคือโทสะ ๑ ไฟคือโมหะ ๑ ดูกรพราหมณ์ ก็เพราะเหตุไรจึงพึงละพึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือราคะนี้ เพราะบุคคลผู้กำหนัดอันราคะครอบงำย่ำยีจิตย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจได้ ครั้นประพฤติทุจริตทางกายทางวาจาทางใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละพึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือราคะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละพึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือผู้โกรธ อันโทสะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจได้โทสะนี้ เพราะบุคคลครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโทสะนี้ ก็เพราะเหตุไร จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้ เพราะบุคคลผู้หลง อันโมหะครอบงำย่ำยีจิต ย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจได้ ครั้นประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฉะนั้น จึงพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟคือโมหะนี้ ดูกรพราหมณ์ ท่านพึงละ พึงเว้น ไม่พึงเสพไฟ ๓ กองนี้แล ดูกรพราหมณ์ ไฟ ๓ กองนี้ ควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ ๓ กองเป็นไฉน คือ ไฟคืออาหุไนยบุคคล ๑ ไฟคือคหบดี ๑ ไฟคือทักขิไณยบุคคลดูกร พราหมณ์ ก็ไฟคืออาหุไนยบุคคลเป็นไฉน ดูกรพราหมณ์ คนในโลกนี้ คือ มารดาหรือบิดา เรียกว่าไฟคืออาหุไนยบุคคล ข้อนั้นเพราะอะไร เพราะบุคคลเกิดมาแต่มารดาบิดานี้ ฉะนั้น ไฟคืออาหุไนยบุคคล จึงควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ ก็ไฟคือคหบดีเป็นไฉน คนในโลกนี้ คือ บุตร ภรรยา ทาส หรือคนใช้ นี้เรียกว่าไฟคือคหบดี ฉะนั้น ไฟคือคหบดีจึงควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ ก็ไฟคือทักขิไณยบุคคลเป็นไฉน สมณพราหมณ์ในโลกนี้ งดเว้นจากความมัวเมาประมาท ตั้งอยู่ในขันติและโสรัจจะ ฝึกฝนจิตใจให้สงบ ดับร้อนได้เป็นเอก นี้เรียกว่าไฟคือทักขิไณยบุคคล ฉะนั้น ไฟคือทักขิไณยบุคคลนี้ จึงควรสักการะ เคารพนับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ ดูกรพราหมณ์ ไฟ ๓ กองนี้แลควรสักการะ เคารพ นับถือ บูชา บริหารให้เป็นสุขโดยชอบ ส่วนไฟที่เกิดแต่ไม้ พึงก่อให้โพลงขึ้น พึงเพ่งดู พึงดับ พึงเก็บไว้ตามกาลที่สมควร ฯ
เมื่อ พระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุคคะตะสะรีระพราหมณได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯขอท่านพระโคดมผู้เจริญ โปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้จะปล่อยโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคผู้ ๕๐๐ ลูกโคเมีย ๕๐๐ แพะ ๕๐๐ แกะ ๕๐๐ ให้ชีวิตมัน  พวกมันจะได้พากันไปกินหญ้าอันเขียวสด  ดื่มน้ำเย็นสะอาด และรับลมอันเย็นสดชื่น ฯ



ประวัติผู้บรรยาย
ชื่อ  
          พระมหาเฉลิมเกียรติ  จิรวฑฺฒโน นามสกุล แก้วหอม ปัจจุบันอายุ ๓๒ ปี พรรษา ๑๒ (ปัจจุบันเป็น พระปลัด ฐานานุกรมของพระพิศาลศาสนกิจ)
การศึกษา 
 ๒๕๓๘   น.ธ.เอก,ป.ธ.๓ (สำนักเรียนวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี)
              ๒๕๔๘   พธ.บ. (การเมืองการปกครอง) มหาจุฬาฯ วิทยาเขตสุรินทร์
              ๒๕๕๒ ศศ.ม. (ยุทธศาสตร์การพัฒนา) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
              ปัจจุบันกำลังศึกษาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาภาวะผู้นำและ
การบริหาร (Ph.D.) มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
บรรพชา  
              ๒๕๓๗ ณ วัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด 
จังหวัดสุรินทร์ พระอุดมญาณโมลี ปัจจุบันเป็นพระราชาคณะชั้นสมเด็จที่ 
สมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (มานิต ถาวโร ป.ธ.๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะ
ภาค ๑๑ ธรรมยุต วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์
อุปสมบท 
 ๒๕๔๔ ณ อุโบสถวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร มีพระครูภาวนาวิทยาคม ปัจจุบันเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระพิศาลศาสนกิจ (เยื้อน ขนฺติพโล) จอ.ศีขรภูมิ (ธ) และรก.จจ.สุรินทร์ (ธ) เป็นพระอุปัชฌาย์ 
พระอาจารย์วุฒิศักดิ์ วฑฺฒโน ปัจจุบันเป็นพระครูเจ้าคณะตำบลชั้นโทที่ พระครูไพโรจน์วุฒิคุณ เจ้าอาวาสวัดเทพประทาน และ จต.บัวเชด (ธ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ 
      พระอาจารย์วุฒิศักดิ์ สุทฺธิปญฺโญ ปัจจุบันเป็นพระครูเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ชั้นเอกที่ พระครูสุทธิปัญญาภรณ์ จต.สนม (ธ) และ รก.จอ.ศีขรภูมิ (ธ) เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ที่อยู่ปัจจุบัน  
             วัดป่าโยธาประสิทธิ์ ตำบลนอกเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
หน้าที่ปัจจุบัน  
              พระธรรมวิทยากรประจำสำนักปฏิบัติธรรมวัดป่าโยธาประสิทธิ์
เลขานุการเจ้าคณะอำเภอศีขรภูมิ ธรรมยุต
             ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ฝ่ายศาสนศึกษา
หน้าที่ในอดีต  
              ๒๕๕๒  เป็นรองผู้อำนวยการ รร.เทพประทานจุฬามณีวิทยา (รร.การกุศลในวัด)
หน้าที่พิเศษ  
              พระปาฏิโมกข์, พระนักเทศน์, พระวิทยากร, พระนวกรรม
         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น