ความนำ
ทรัพยากร
ป่าไม้มีความสำคัญต่อระบบนิเวศวิทยาที่ต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันจะ
ขาดระบบใดระบบหนึ่งไปก็คงไม่ได้
ดังพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระ
ชนมพรรษา 12 สิงหาคม วันที่ 11 สิงหาคม 2551 ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ตอนหนึ่งว่า “…ปัญหาต่อไปของโลก ของชาวโลก ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่จะตามมา ประมาณอีก 15
ปี
น้ำจืดที่พวกเรารับประทานกันนี้จะเป็นของที่หายากบ้านเรานี้ไม่มีแหล่งน้ำ
ใหญ่ๆ มีแต่ป่า นี่ถ้าเผื่อคนไทยไม่ทราบว่าป่าไม้คืออะไร
ป่าไม้ก็คือที่สะสมน้ำไว้ใต้ดินนี้เอง
ที่ฤดูฝนแทนที่น้ำฝนจะไหลหลากลงไปที่ทะเล ถ้ามีป่า ป่าเหล่านั้น
ต้นไม้ใหญ่ๆ เหล่านั้นจะดูดน้ำไว้ใต้ดินของเขา ใต้ต้นของเขา
ไว้เป็นจำนวนมากแล้วก็ออกมาเป็นลำธารน้อยใหญ่
เพราะฉะนั้นทำไมเราไม่รู้จักเก็บป่าไม้ไม่ใช่ว่าใครอยากตัดอะไรไปค้าขายก็
ตัดไปตามเรื่องตามราว ผลสุดท้ายผู้ที่ได้รับทุกข์
ทุกข์ร้อนก็คือประชาชนชาวไทย เมืองไทยทุกสิ่งทุกอย่างเวลานี้ต้องพึ่งป่าไม้…” (พระราชเสาวนีย์. 2551 : สิงหาคม 22) จากการสำรวจทรัพยากรป่าไม้ของประเทศไทยด้วยดาวเทียม พ.ศ. 2547 พบว่าประเทศไทยมีพื้นที่ป่า 513,115.02 ตารางกิโลเมตร แยกเป็นพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 169.644.29 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 168,854.40 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ภาคตะวันออก 36,502.50 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ภาคกลาง 67,398.70 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ภาคใต้ 70,715.19 ตารางกิโลเมตร (กรมป่าไม้. 2551: มกราคม 27)
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา (2543-2547) ภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างได้แก่ กลุ่มจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์
สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะพื้นที่ป่าทางตอนใต้ของสุรินทร์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา
บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งนอกจากจะเป็นเขตพื้นที่ดูแลของกรมป่าไม้แล้ว
ยังเป็นแนวเขตในการปกป้องดูแลของกองกำลังสุรนารี ส่วนแยกที่ 2 กรอ.มน. ถือเป็นพื้นที่ป่าไม้ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ด้วยพันธุ์ไม้ พืชสมุนไพร สัตว์ป่านานาชนิด
พื้นที่
ป่าในเขตอำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์
เป็นพื้นที่ที่พระสงฆ์มีบทบาทสำคัญในการน้อมนำหลักพุทธธรรมมาใช้กับวิธีการ
ดำเนินกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
ใช้หลักธรรมในการสร้างความสมานฉันท์สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นในชุมชน
คือพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร โดยพระพิศาลศาสนกิจ (หลวงพ่อเยื้อน
ขนฺติพโล) เจ้าสำนักผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างพลัง คือ วัด ชุมชน ป่าไม้
ให้สามารถอยู่อาศัยซึ่งกันและกันได้สมดุล
จาก
ปัญหาการบุกรุกป่าจับจองเพื่อการเกษตร การลักลอบตัดต้นไม้
การจับสัตว์ป่าและปัญหาไฟไหม้ป่า
ในเขตพื้นที่ป่าพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรได้รับผลกระทบโดยตรง
พระสงฆ์ต้องใช้ความพยายาม
และขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐในการปกป้องพื้นป่า
จากบทบาทดังกล่าวชุมชนมีทัศนะคติต่อพระสงฆ์ว่า “พระป่าไม้” การ
ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของพระสงฆ์ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ
โดยเฉพาะกองกำลังสุรนารี กรมป่าไม้ กรมการศาสนา
และสำนักพระพุทธศาสนาจังหวัด
ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจบทบาทของพระสงฆ์ในการดำเนินกิกรรมด้านการอนุรักษ์
ทรัพยากรป่าไม้มากขึ้นในระดับหนึ่ง
บท
ความนี้ต้องการนำเสนอบทบาทของพระสงฆ์ในพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรใน
เชิงการอนุรักษ์ เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ตามนโยบายการพัฒนาประเทศในปัจจุบัน
ความเข้าใจเกี่ยวกับการอนุรักษ์
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ตามแนววิถีพุทธ เพื่อความเข้าใจในประเด็นดังกล่าวนี้ ผู้เขียนศึกษาเอกสารซึ่งสามารถสรุปความหมายได้ ดังนี้
การอนุรักษ์ ตามพจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530 หมายถึง รักษาให้คงเดิม
การ
อนุรักษ์ตามความหมายวิทยาศาสตร์ หมายถึง
การรู้จักใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเหมาะสม ด้วยวิธีการสงวน
หรือเก็บรักษาทรัพยากรที่หายากเอาไว้
รวมทั้งป้องกันมิให้ทรัพยากรเกิดการสูญเสียในการใช้ทรัพยากรเหล่านั้น (เกษม
จันทร์แก้ว. 2530 : 98)
วิถี
พุทธ
หมายถึงการนำหลักธรรมในทางพุทธศาสนามาปรับใช้ในการดำเนินการอนุรักษ์
ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) กล่าวว่า
หลักธรรมทางพุทธศาสนาเน้นเรื่องการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
คือความรู้สึกดีต่อกันระหว่างมนุษย์ พืช สัตว์ ทั้งหลาย
มีความกตัญญูรู้คุณต่อกันและกัน ดังพุทธสุภาษิตตอนหนึ่งว่า
บุคคลนั่งหรือนอนใต้ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านกิ่งใบของต้นไม้นั้น
และต้องเข้าใจกฎไตรลักษณะคือกฎธรรมชาติที่สอนให้รู้การเปลี่ยนแปลง
การยุติปัญหา และการจัดการสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานความเป็นจริงทางธรรมชาติ
(กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. 2544 : 20)
ดัง
นั้น อาจสรุปได้ว่า การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ตามแนววิถีพุทธ หมายถึง
การปฏิบัติหน้าที่ของพระสงฆ์ในการรักษา คุ้มครอง ป้องกัน
และใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าไม้ เพื่อการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
มีความกตัญญูรู้คุณต่อธรรมชาติ คือ มนุษย์ สัตว์
พืชพันธุ์ภายใต้ระบบนิเวศวิทยาที่ยั่งยืน
พระพุทธศาสนากับทรัพยากรธรรมชาติ
พระ
พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
มีหลักธรรมในทางพุทธศาสนาที่ย้ำในเรื่องระบบของการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
และนอกจากพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันแล้วสิ่งที่สำคัญคือความรู้สึกที่ดีงาม
ต่อกันระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ และมนุษย์ต่อพืชและสัตว์ทั้งหลาย
ความดีงามอย่างหนึ่งได้แก่คุณธรรมที่เรียกว่า “ความกตัญญู” ความ
กตัญญูนี้ไม่ใช่มีเฉพาะต่อมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น
แต่ให้มีทั้งต่อพืชต่อสัตว์ทั้งหลายด้วย
ดังมีพระบาลีพุทธศาสนาสุภาษิตบทหนึ่งที่ย้ำ
และสอนให้ผู้คนรู้จักบุญคุณแม้แต่คุณประโยชน์ของพืชมีใจความแปลความเป็นภาษา
ไทยว่า “บุคคลนั่งหรือนอนในร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักก้านกิ่งใบของต้นไม้นั้นผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนทราม” เป็นคติที่แสดงความรู้สึกที่ดีต่อกันให้ระลึกเสมอว่าต้นไม้นี้เราได้อาศัยร่มเงาเป็นประโยชน์มีค่ามีร่มเงาที่คนอื่นจะได้อาศัยต่อไป
นอก
จากความรู้สึกที่เห็นคุณของกันและกัน หรือระลึกในคุณค่าของกันและกันแล้ว
พระพุทธศาสนายังสอนให้มองพืชและสัตว์ทั้งหลายด้วยเมตตาจิต
ความเมตตานี้เองถือเป็นความรู้สึกที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนาโดยการมองทุก
สิ่งทุกอย่างว่าเป็นสรรพสัตว์ผู้อยู่ร่วมโลก
และต้องมีความเข้าใจหลักความเป็นจริงทางธรรมชาติตามกฎแห่งไตรลักษณ์ คือ
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ซึ่งถือเป็นสภาวธรรมของธรรมชาติที่ทำให้มนุษย์มีทัศนคติที่ถูกต้องในการ
พัฒนาตนเอง
คติ
ในทางพระพุทธศาสนาอีกอย่างหนึ่ง
คือให้มองธรรมชาติเป็นสภาพแวดล้อมที่งดงามน่ารื่นรมย์
ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้มนุษย์อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุข
เพราะธรรมชาติถือเป็นองค์ประกอบในการฝึกฝนพัฒนาตนเองของมนุษย์
หมายความว่าพระพุทธศาสนามองธรรมชาติเป็นอุปกรณ์ในการศึกษาเรียนรู้ตนเอง
คือการจะพัฒนาคนให้มีจิตใจที่เจริญงอกงาม เป็นคนที่มีคุณธรรม
จำเป็นต้องอาศัยธรรมชาติในการฝึก
เมื่อใดที่มีสภาพแวดล้อมที่สงัดปราศจากเสียงรบกวนและมีกิจกรรมที่วุ่นวาย
ท่านเรียกว่า กายวิเวก เมื่อใดที่จิตใจรู้สึกมีความสงบ มีความอิ่มใจ
มีความสดชื่น มีแนวโน้มไปในทางที่ดี ก็จะทำให้เกิด จิตวิเวก
เมื่อจิตไม่มีอารมณ์ที่วุ่นวายในเข้ามารบกวน มีสมาธิ
ก็อยู่ในสภาพที่พร้อมจะฝึกฝนพัฒนายิ่งๆ ขึ้นไปอีก
คือเอาจิตที่พร้อมแก่การงานทั้งหลายไปใช้งานด้านการพิจารณาให้เกิดปัญญา
เกิดความรู้เห็นตามสภาวะที่เป็นจริงเรียกว่า อุปธิวิเวก (พระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตฺโต). 2543 : 20-23)
นิวัติ เรืองพานิช. (2542 : 38) ให้ความหมายคำว่า ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources) หมาย
ถึง
สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีประโยชน์สามารถสนองความต้องการของมนุษย์ได้
หรือมนุษย์สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น บรรยากาศ ดิน น้ำ ป่า สัตว์ป่า
แร่ธาตุต่างๆ
แนวคิดการจัดการสิ่งแวดล้อมในมุมมองของพระพุทธศาสนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎธรรมชาติ สามารถสรุปได้ ดังนี้
1. การกำหนดแนวทางในการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยมีความตระหนักในเรื่องของความเปลี่ยนแปลง
2. มนุษย์ต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเพื่อการยุติปัญหาในการจัดการสิ่งแวดล้อม
3. แนว
คิดในการจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักของความเป็นจริง
ทำให้มนุษย์มีทัศนคติที่ถูกต้องว่าทุกอย่างมีความเกี่ยวข้องต้องพึ่งพาอาศัย
ซึ่งกันและกัน มนุษย์เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ด้วย
ดังนั้น
การจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีมนุษย์ต้องมีการบริหารจัดการตัวเองเสียก่อน
4. แนว
คิดการจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักพุทธศาสนาบนแนวทางของความเป็นจริง
ต้องรู้ระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่เรียกว่า อุตุนิยม ได้แก่
ความจริงเกี่ยวกับสสารสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพเรียกว่า พืชนิยาม
ได้แก่ความหลากหลายทางชีวภาพ
พันธุกรรมซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวกับพฤติกรรม
เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต
เป็นกลไกที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน ซึ่งทางพุทธศาสนาเรียกว่า “ธรรมนิยาม” หมายถึงสภาวะสิ่งทั้งมวลมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตามกระบวนการแห่งเหตุและผลเสมอ
ตาม
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงหลักธรรมชาติว่ามีความเกี่ยวเนื่อง
สัมพันธ์กันอย่างไรตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น
แท้ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มองทุกอย่างทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว
และกำลังจะเกิด หรือยังไม่เกิด ว่าเป็นสภาวะที่มีเกิดมีดับตามกาลเวลา
จำเป็นที่มนุษย์ พืช สัตว์ ต้องมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
และหลักคำสอนต่างๆ ของศาสนาก็มีการสอดแทรกเรื่องธรรมชาติไว้ เช่น
เรื่องธรรมนิยาม ที่กล่าวถึงทุกสิ่งมีการเป็นไปตามเหตุและผล
แม้แต่การปฏิบัติธรรมตามคำสั่งสอนถ้าปรารถนามุ่งให้เกิดความวิเวกก็ต้องพึ่ง
พาอาศัยความเป็นธรรมชาติ
พระสงฆ์กับป่าไม้
ป่า
วัด และพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาถือว่ามีความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ซึ่งวัดแรกในพุทธศาสนาคือวัดเวฬุวนาราม (มาจากคำว่า เวฬุ แปลว่า ไม้ไผ่ +
วน แปลว่า ป่า +อาราม แปลว่า สถานที่รื่นรมย์)
มีพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธถวายแก่พระพุทธเจ้า
นอกจากนั้นมีวัดป่าเกิดขึ้นหลายแห่ง เช่น เชตวนาราม บุพพาราม นิโครธาราม
และอัมพวนาราม ซึ่งเป็นเหตุบอกให้พวกเราทราบว่า
ป่ากับพุทธศาสนามีความเกี่ยวข้องกัน
วัดในพุทธศาสนาล้วนมีความสัมพันธ์กับป่าหรือต้นไม้อย่างมาก
วัดส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในชุมชน หรือชนบทห่างไกลจะมีต้นไม้ใหญ่ๆ
มีความร่มรื่นเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมตามหลักพุทธศาสนา
ซึ่งมีหลักการถือธุดงค์ที่มุ่งให้พระภิกษุสงฆ์อยู่โคนต้นไม้เป็นวัตรในการ
ประพฤติปฏิบัติธรรมชำระกิเลสภายในใจ ดังนั้น
พระสงฆ์กับป่าไม้จึงถือเป็นสิ่งคู่กัน
ไม่สามารถแยกจากกันได้ตามคติความเชื่อที่ถือปฏิบัติสืบทอดกันมา
ประเทศ
ไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติไทยถึงแม้จะไม่มีการกล่าวไว้ในกฎหมายรัฐ
ธรรมนูญก็ตาม
แต่ในใจของประชาชนต่างก็ทราบว่าพุทธศาสนาคือศาสนาประจำชาติมีบทบาทที่สำคัญ
ตั้งแต่บรรพบุรุษมาแล้ว ซึ่งมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ 1.) ศาสนวัตถุ เช่น อาราม โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ เจดีย์ พระพทุธรูป ที่ดิน ป่าไม้ ฯลฯ 2.) ศาสนบุคคล เช่น พระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา 3.) ศาสนธรรม เช่น คัมภีร์พระไตรปิฎก
ทั้ง
สามสิ่งนี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของคนไทยได้เป็นอย่างดี
ช่วยพัฒนาบุคลากรของชาติให้มีความพร้อมด้านจิตใจ
ในขณะเดียวกันพระสงฆ์ยังต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์อีกส่วนหนึ่ง
สถานที่ที่เป็นที่พักอาศัยของพระสงฆ์นั้นมี 3 ลักษณะได้แก่ 1.) ที่พักสงฆ์ คือเป็นที่พักที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้สร้างเป็นวัดที่ถูกต้อง 2.) สำนักสงฆ์ คือ ได้รับอนุญาตให้สร้างวัดโดยถูกต้องแต่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา ในการสร้างโบสถ์สำหรับพระสงฆ์ทำสังฆกรรม และ 3.) วัด
ที่ได้รับการอนุญาตให้สร้างวัดถูกต้องและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
หรือมีการปฏิสังขรถาวรวัตถุ มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาไม่น้อยกว่า 5 รูปติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี หรือมีการสร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว กรมการศาสนาโดยกระทรวงศึกษาธิการเห็นสมควรขอรับวิสุงคามสีมา
การ
สร้างศาสนวัตถุของพระสงฆ์ส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวข้องกับป่า
ถ้าพิจารณาตามหลักพุทธธรรมแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น
ยิ่งเป็นการดีด้วยซ้ำที่พระสงฆ์อยู่ในพื้นที่ป่า
แต่มองในแง่อาณาจักรแล้วถือว่าขัดต่อกฎหมาย
ป่าถือว่าเป็นทรัพยากรที่รัฐต้องรักษาคุ้มครอง
การที่พระสงฆ์จะเข้าไปใช้ประโยชน์จากป่าต้องได้รับอนุญาตจากรัฐคือกรมป่าไม้
เสียก่อน เหตุที่มีการห้ามพระภิกษุสงฆ์สร้างที่พัก หรือถาวรวัตถุใดๆ
ในสถานที่ซึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตนั้นส่วนหนึ่งเป็นคำสั่งของมหาเถรสมาคม
ที่มีความเกี่ยวเนื่องสอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติที่ห้าม
บุกรุกพื้นที่ป่า
ในพระวินัยบัญญัติพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติของพระ
สงฆ์ว่า
1. ห้ามทำลายเมล็ดพืช หน่อไม้ รากเหง้า เพราะอาจนำไปปลูกใหม่ได้
2. ห้ามทำลายต้นไม้ทุกชนิดไม่ต้นใหญ่หรือต้นเล็ก
3. ห้ามถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บ้วนน้ำลายลงใส่ต้นไม้และแม่น้ำลำคลอง
4. ห้ามขุดดินเพราะอาจทำให้สัตว์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินตายได้
5. ห้ามนำน้ำที่มีตัวสัตว์มาเทหรือรดต้นไม้ ต้นหญ้า เพราะอาจทำให้ตายได้
6. เวลาจะกรอกน้ำไปใช้ดื่มต้องมีการกรองเสียก่อน (ไพฑูรย์ ปานประชา . 2540)
เหตุผล
หลักๆ
ที่ห้ามมิให้พระสงฆ์เข้าไปสร้างถาวรวัตถุในพื้นที่ป่าก่อนได้รับอนุญาตนั้น
เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการควบคุมตรวจสอบพฤติกรรมของพระสงฆ์
เมื่อมีการดำเนินคดีตามกฎหมายอาจก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสถาบันศาสนาได้
อาจมีการนำไม้ผิดกฎหมายมาก่อสร้างได้
ป้องกันการก่อสร้างในสถานที่ไม่เหมาะสม
และเป็นการป้องกันการแอบอ้างยึดครองที่ดิน
สาเหตุในการเข้าไปสร้างในเขตพื้นที่ป่านั้นมาจากพระสงฆ์ต้องการแสวงหาสถาน
ที่ธุดงค์ ที่วิเวกในการปฏิบัติ และเพื่อสร้างวัดใหม่
และเกิดจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนที่ต้องการมีวัดในชุมชนของตนเอง
(ฝ่ายศาสนากับป่าไม้. ม.ป.ป. : 1-5)
ตั้งแต่
ในอดีตจนถึงปัจจุบันเราต้องยอมรับว่าพระสงฆ์เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการ
ช่วยเหลือสังคมในรูปแบบต่างๆ
และเราปฏิเสธไม่ได้ว่าพระสงฆ์มีความเกี่ยวข้องกับป่ามาก
สำหรับพระสงฆ์ที่เป็นฝ่ายอรัญวาสี (พระป่า)
ท่านยิ่งต้องอาศัยธรรมชาติจากป่าไม้ในการแสวงหาความวิเวก
ปัจจุบันพื้นที่ป่าถูกทำลายไปมากพื้นที่ป่าในประเทศลดลงเรื่อยๆ
บวกกับภาวการณ์เจริญเติบโตของสังคมในทุกๆ ด้าน
ทำให้รัฐต้องมีการออกกฎหมายมาคุ้มครองรักษาป่าไม้อันเป็นสมบัติของชาติไว้
และทำให้พระสงฆ์จะเข้าไปปฏิบัติธรรมในป่าหรือจะสร้างวัด ที่พักสงฆ์
สำนักสงฆ์ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ คือกรมป่าไม้
และหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
และส่วนใหญ่พระสงฆ์ที่สามารถดำเนินการขออนุญาตใช้ประโยชน์โดยการสร้างวัด
นั้นได้ช่วยดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ เป็นการช่วยรัฐอีกส่วนหนึ่ง
ดังเช่นพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด
จังหวัดสุรินทร์
สภาพทั่วไปของพื้นที่
พุทธ
อุทยานเขาศาลา มีสภาพพื้นที่เป็นเนินเขา มีภูศาลา ภูหงส์ ภูนก
อยู่ในบริเวณเขตพื้นที่ป่า ลักษณะเป็นป่าดงดิบชื้น ป่าเบญจพรรณ
และป่าดงดิบแล้งคงความอุดมสมบูรณ์เป็นป่าต้นน้ำห้วยจรัส
มีเทือกเขาพนมดงรักเป็นแนวกั้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
สภาพภูมิอากาศมีฤดูฝนกับฤดูแล้งที่แตกต่างกันชัดเจน
ข้อมูลทั่วไป
พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ตั้งอยู่ ณ บ้านสะพาน ตำบลจรัส อำเภอบัวเชด จังหวัดสุรินทร์ ห่างจากอำเภอบัวเชด 17 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 10,865
ไร่ ติดกับอ่างเก็บน้ำห้วยจรัส เป็นแหล่งเรียนรู้ทางพระพุทธศาสนา
และศึกษาธรรมชาติมีทิวทัศน์ที่สวยงาม มีหน้าผาที่สูงชันเรียกผานี้ว่า
ผาพระหรือผานางคอย มีชุมชนล้อมรอบ 3 ตำบลกับอีก 4 หมู่บ้าน คือ ตำบลจรัส มีบ้านจรัส และบ้านสะพาน ตำบลอาโพน มีบ้านชำปะโต ตำบลเทพรักษา มีบ้านกะเลงเวก
พุทธ
อุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร ได้ดำเนินกิจกรรมหลากหลายอย่างควบคู่กัน
อาทิเช่น การอนุรักษ์ป่าไม้ การส่งเสริมการเรียนรู้ให้แก่ เยาวชน นักเรียน
นักศึกษา และประชาชนทั่วไป โครงการบรรพชา – อุปสมบท
เฉลิมพระเกียรติในภาคฤดูร้อนในลักษณะการเรียนรู้การอยู่กับธรรมชาติ
การก่อตั้งโรงสีข้าวเกษตรอินทรีย์ชุมชน
และการส่งเสริมกิจกรรมพุทธศาสนาในรูปแบบต่างๆ
เพื่อเป็นพุทธอุทยานเขาศาลาศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้
และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มีแหล่งท่องเที่ยวเช่น พระอริยเจดีย์
รอยพระพุทธบาทจำลอง พระพุทธรูปหินแกะสลัก พระพุทธรูปโสธร อุโบสถ พระนาคปรก
ผานางคอย น้ำตกไตรคีรี
และปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ศึกษาเพื่อเปิดเป็นแหล่งท่อง
เที่ยวเชิงอนุรักษ์และทางศาสนสถาน (อัจฉรา ภาณุรัตน์.2551 : พฤษภาคม 25)
อาณาเขต
พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร มีพื้นที่ป่าบริเวณกว้างติดต่อหลายตำบลตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก คือ :-
ทิศเหนือ ติดถนนทางหลวงสายบัวเชด-จรัส และบ้านสะพาน
ทิศใต้ ติดชายแดนกัมพูชาที่หลักเขตที่ 4
ทิศตะวันออก ติดบ้านจรัสสามัคคี
ทิศตะวันตก ติดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยสำราญ (กรมป่าไม้)
บทบาทพระสงฆ์ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
ในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2505 (กรมการศาสนา . 2539:17-25) ได้
กำหนดให้พระภิกษุผู้เป็นเจ้าสำนักทำการอนุรักษ์ ส่งเสริม
สภาพแวดล้อมภายในวัดให้มีความร่มรื่น
และพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนานอกจากจะมีบทบาททั้ง 6
ด้าน คือ ด้านการศึกษา การศึกษาสงเคราะห์ ด้านการปกครอง ด้านการเผยแผ่
ด้านการสาธารณะสงเคราะห์ และด้านการบูรณะเสนาสนะ (พรชุลี อาชวอำรุง และคณะ.
2549 : 26-30) อีก
บทบาทหนึ่งที่พระสงฆ์ในยุคปัจจุบันควรให้ความสำคัญ
คือด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติ
ให้คงสภาพที่สมบูรณ์
จาก
คำสัมภาษณ์ของท่านเจ้าคุณพระพิศาลศาสนกิจ
และการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมในพื้นที่ของผู้เขียน
ตลอดจนการสอบถามพระครูไพโรจน์วุฒิคุณ (พระอาจารย์วุฒิศักดิ์ วฑฺฒโน)
รองเจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลบัวเชด(ธ)
ถึงบทบาทที่พระสงฆ์ในพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรได้ดำเนินการมา
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบันสามารถแยกเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ได้ดังนี้ คือ
ทำ
แนวกั้นเขตป่า คือ การปักรั่วคอนกรีต ในด้านทิศตะวันตก
ทิศตะวันออกและด้านหน้าคือทิศเหนือของวัด
เพื่อเป็นแนวกั้นแบ่งเขตระหว่างป่าที่ดูแลโดยป่าไม้
และกั้นแนวเขตระหว่างที่ทำกินของชาวบ้านอย่างชัดเจน
แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้โดยตรง
เพราะมีการบุกรุกลักลอบตัดไม้จากชาวบ้านบางกลุ่ม
พระพิศาลศาสนกิจมีแนวคิดใหม่ว่าต้องขุดคลองกว้าง 3 เมตร ลึกประมาณ 4
เมตร ทำเป็นแนวกั้นด้านหน้าของเขตพุทธอุทยาน ท่านให้เหตุผลว่า
เวลาน้ำป่าหลากมาแนวเขตนี้สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้
เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าในเขตพุทธอุทยาน
และยังสามารถทำให้พื้นที่ป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์
และชาวบ้านที่มีที่ทำกันในบริเวณใกล้เคียงสามารถใช้ถนนนี้ร่วมกันได้สะดวก
ขึ้น และที่สำคัญเป็นการป้องกันการนำไม้ออกนอกพื้นที่ ซึ่งระยะทางยาวประมาณ
5 กิโลเมตร
การ
ทำแนวทำนบป่าต้นน้ำ พระพิศาลศาสนกิจท่านให้แนวคิดว่า คนพึ่งน้ำพึ่งป่า
สัตว์ป่าเขาก็อาศัยทรัพยากรเหล่านี้เช่นกันในการดำรงชีพ
ท่านได้ทำโครงการของบประมาณจากจังหวัด
เพื่อสร้างทำนบกั้นต้นน้ำเพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่พื้นป่าไม้ในบริเวณนั้น
และสัตว์ป่าได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากแหล่งน้ำ มีการนำพันธุ์ปลาต่างๆ
มาปล่อย และวัดสามารถนำน้ำนี้ไปใช้อุปโภคบริโภคได้
เป็นลักษณะการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันที่ว่า น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า
หรือสุภาษิตที่ว่า เสือพีเพราะป่าปก ป่ารกเพราะเสือยัง ดินเย็นเพราะหญ้าบัง
และหญ้ายังเพราะดินดี (พระธรรมปิฎก (ป.อ ปยุตโต). 2543 :16)
การ
ป้องกันไฟป่า ในพื้นที่ป่าเขาศาลานั้น
เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีววิทยา
สิ่งที่เป็นอันตรายต่อระบบสิ่งมีชีวิตมากที่สุดคือไฟป่า
ไฟที่เกิดจากการกระทำของคน
พระพิศาลศาสนกิจใช้วิธีการโดยให้พระภิกษุสามเณรในวัดช่วยกันดับไฟ
และไฟป่าส่วนใหญ่มักเกิดบริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นหนาแน่น เช่น
ด้านทิศตะวันตกของวัด และด้านหน้าวัด
ในปัจจุบันวัดได้ร่วมมือกับกรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ดับไฟป่ามาร่วมพลังในการ
รักษาพื้นป่า ในช่วงฤดูร้อนทำให้สภาพป่าด้านหน้าวัดนี้มีความเขียวขจี
ต้นไม้เริ่มเจริญเติบโตมีขนาดใหญ่ขึ้น
การแก้ไขปัญหาการบุกรุกป่า จากการร่วมอยู่ในพื้นที่มีชาวบ้านบางกลุ่มเข้าไปจับจองทำการเกษตรรวมเนื้อที่ประมาณ 668 ไร่ จำนวน 54
ราย ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยทับทัน-ห้วยสำราญ
ในที่ประชุมมีมติให้ วัด อบต. ชาวบ้าน และเขตอนุรักษ์ร่วมกันแก้ไข
แต่ในส่วนของพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรนั้นพระพิศาลศาสนกิจสามารถแก้
ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง โดยท่านให้ทัศนะว่า
วัดใช้หลักธรรมในการแก้ไขปัญหาโดยยึดการประนีประนอม
ท่านใช้วิธีการแลกเปลี่ยนให้ชาวบ้านเข้ามาจับจองในเขตพุทธอุทยานออกนอกเขต
หาที่ดินให้ใหม่หรือบางคนขอรับค่าชดใช้แทน
ซึ่งชาวบ้านก็ยอมรับและไม่คัดคานในข้อเสนอนี้แต่อย่างใด
ส่วน
ปัญหาการลักลอบตัดไม้ในเขตพุทธอุทยานถือเป็นปัญหาที่ยากแก่การแก้ไข
ไม่เฉพาะแต่ในพื้นที่พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรเท่านั้น
พื้นที่อื่นก็มีปัญหาแบบเดียวกันนี้
สำหรับพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรโดยปกติเป็นพื้นที่ในการดูแลของกอง
กำลังสุรนารีอยู่ พระพิศาลศาสนกิจท่านได้ประสานขอกำลังทหารมาประจำในพื้นที่
มีทหารพรานส่วนหนึ่ง ตำรวจตระแวนชายแดนส่วนหนึ่ง
ทหารพรานนั้นประจำการอยู่ทิศตะวันตกของพื้นที่ดูแลแนวเขตที่มีบ้านชำปะโต
บ้านกะเลงเวกติดต่อ
ส่วนตำรวจตระแวนชายแดนประจำการอยู่บนเขาศาลาดูแลพื้นที่โดยรวม
จากเมื่อก่อนชาวบ้านที่มีอาชีพตัดไม้ขายเมื่อไม่สามารถเข้าไปตัดไม้ได้ก็
เกิดความไม่พอใจ โจมตีว่าพระเป็นพระป่าไม้ มีการเดินขบวนขับไล่บ้าง
เหตุการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นมีส่วนทำให้ทางการรับทราบถึงบทบาทของพระสงฆ์
และท่านได้ยกพื้นที่พุทธอุทยานถวายไว้ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริ
กิตต์
จาก
การดำเนินการป้องกัน รักษา
พื้นป่าแห่งนี้ไว้อย่างต่อเนื่องสำเร็จเป็นรูปธรรม
ทำให้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงเข้าใจ รับทราบถึงบทบาทที่พระสงฆ์ทำอยู่
และที่สำคัญภาครัฐก็ให้การสนับสนุน ชุมชนก็ให้ความร่วมมือ
ปัจจุบันปัญหาการลักลอบตัดไม้เริ่มลดลงเรื่อยๆ
การปลูกป่าทดแทน เนื่องจากพื้นที่พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรมีพื้นที่ดูแล 10,865
ไร่ มีชาวบ้านบุกรุกลักลอบตัดไม้บ้าง บุกรุกจับจองที่ทำกินบ้าง
ทำให้พื้นที่บางส่วนถูกทำลายขาดความสมดลทางระบบนิเวศวิทยา
เพื่อให้สภาพป่ามีความสมดุลกัน
พระพิศาลศาสนกิจใช้ปลูกป่าทดแทนโดยได้รับการอนุเคราะห์กล้าไม้จากหน่วย
อนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าห้วยเสียดจะเอิง มีพระภิกษุสามเณร นักเรียน นักศึกษา
และชาวบ้านร่วมกันปลูก
ส่วนหนึ่งเป็นการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสต่างๆ
และในพื้นที่พุทธอุทยานที่ชาวบ้านบุกรุกท่านได้ปรับปรุงที่ดินให้พร้อมเพื่อ
ปลูกต้นไม้ทดแทน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณร้อยไร่
ส่วนใหญ่ต้นไม้ที่นำมาปลูกทดแทนในส่วนที่เสียหายนั้นเป็นพืชเศรษฐกิจคือ
ต้นสักทอง ต้นยางพารา ต้นยูคาลิปตัส ซึ่งท่านเจ้าคุณมีแนวคิดว่า
การปลูกเช่นนั้นนอกจากจะทำให้สภาพป่ามีความสมดุลแล้ว
ยังเป็นการสร้างรายได้ให้วัด ชุมชน
เพิ่มอาชีพในชุมชนแก้ปัญหาการว่างงานอีกด้วย
การ
อนุรักษ์สัตว์ป่า สัตว์ป่าในเขตพุทธอุทยานมีหลายชนิด เช่น นก งู หมูป่า
เก้ง พระพิศาลศาสนกิจกล่าวว่า ในอนาคตสัตว์ป่าในเขตพุทธอุทยานเขาศาลาฯ
จะมีมากขึ้นเพราะป่าแห่งนี้มีรอยต่อระหว่างไทย-กัมพูชาซึ่งตามแนวชายแดน
ไทย-กัมพูชานั้น มีการล่าสัตว์มาก
เมื่อถูกล่ามากสัตว์ป่าก็ต้องขึ้นมาฝั่งไทยและท่านมองว่า
ป่าคือบ้านของสัตว์ป่า เราคือหมายถึงวัด ชุมชน
มาอาศัยบ้านคือป่าหลังสัตว์ป่า
ดังนั้นคนต้องอนุรักษ์ป่าและสิ่งมีชีวิตในป่าอย่างที่สุด
สำหรับการอนุรักษ์สัตว์ป่าในเขตพุทธอุทยานาเขาศาลานั้นถือเป็นยุทธศาสตร์ของ
วัดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
ที่ผ่านมาพระภิกษุสามเณรและเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจในพุทธอุทยาน
เมื่อออกสำรวจพื้นที่ป่าในเขตพุทธอุทยานพบเห็นการล่าสัตว์
หรือมีเครื่องมือดักจับ แม้แต่ชาวบ้านที่หาผึ้ง
เจ้าหน้าที่จะทำการยึดอุปกรณ์ไว้ทันที
ถ้าเห็นสัตว์ป่าที่จับได้ท่านก็จะปล่อย
ชาวบ้านในชุมชนรอบพื้นที่ป่าต่างก็รู้ถึงการเป็นพระนักอนุรักษ์ที่มีความ
เมตตาต่อสัตว์ป่า และให้ความร่วมมือ
กิจกรรม
ส่งเสริมการอนุรักษ์ป่าไม้
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของพระสงฆ์ในพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
องค์กรต่าง ๆ เช่น โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย
และองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับป่าไม้
ต่างก็ให้ความสำคัญนำคณะมาเรียนรู้สภาพความเป็นจริง ร่วมปลูกป่าบ้าง
วัดได้ให้ความรู้เรื่องป่ากับชุมชนในลักษณะการจัดอบรมปฏิบัติธรรม
และมีพระภิกษุในวัดที่นำคณะเดินสำรวจป่า
เป็นการให้ความรู้กับประชาชนทั่วไปที่สนใจ ได้เกิดความรัก
ความหวงแหนทรัพยากรของชาติในชุมชนของตน
จาก
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของพระสงฆ์ชี้ให้เห็นว่า
พระสงฆ์นอกจากจะมีบทบาทด้านการเผยแผ่หลักธรรมคำสั่งสอนให้ชุมชนได้เข้าใจ
สามารถนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต
ยังมีบทบาทที่สำคัญอีกบทบาทคือการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
ที่สามารถนำหลักธรรมอันเป็นวิถีความเข้าใจซึ่งกันและกัน
โดยยึดความเข้าใจธรรมชาติ ไม่เบียดเบียนการดำรงชีวิตซึ่งกันและกัน
นอกจากจะสร้างความอุดมสมบูรณ์ในพื้นที่พุทธอุทยานให้มีความสมดุลแล้ว
ยังทำให้ชุมชนเกิดความอยู่เย็นเป็นสุขและได้รับผลกระทบน้อยที่สุด
การ
ดำเนินการอนุรักษ์ คุ้มครอง ปกป้อง
ทรัพยากรป่าไม้อันเป็นสมบัติของชาติให้คงอยู่
และใช้ประโยชน์จากป่าไม้ให้เกิดผลมากที่สุด
ด้วยพลังแห่งความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อชาติและพระศาสนา
ทำให้พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโรมีพื้นทีป่าในดูแลถึง 10,865
ไร่ พระพิศาลศาสนกิจเคยกล่าวว่า
พื้นที่ป่าบริเวณเทือกเขาพนมดงรักถ้าท่านขอขยายพื้นที่อีกทางการก็กล้าให้
เพราะเชื่อในความตั้งใจจริงที่เห็นผลประจักษ์จากการดูแลเขตพุทธอุทยาน
ปัญหาที่เกิดตามมาจากการอนุรักษ์ป่าไม้ในปัจจุบันไม่รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน
เพราะทุกฝ่ายเข้าใจ รับรู้ถึงบทบาทที่ทางวัดดำเนินการอยู่
บทสรุป
จาก
บทบาท และกิจกรรมที่ทางวัดดำเนินการในด้านต่างๆ
เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ถ้านำแนวคิดทฤษฎีมาวิเคราะห์ล้วนมีความ
สอดคล้อง เช่นทฤษฎีบทบาทหน้าที่ ทฤษฎีนิเวศวิทยา
หรือแม้แต่ทฤษฎีนิเวศวิทยาแนวลึก
แต่บทความนี้ผู้เขียนนำเสนอบทบาทการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของวัดที่นำโดย
พระพิศาลศาสนกิจตามแนวคิดทางพุทธศาสนาที่มีมุมมองเกี่ยวกับป่า
เพื่อให้สอดคล้องกับคำว่าวิถีพุทธ
เหตุผลหนึ่งที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึงทฤษฎีเพราะพระพิศาลศาสนกิจซึ่งเป็นผู้
ที่มีบทบาทสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เคยกล่าวว่า
การทำงานของท่านไม่ได้คำนึงถึงแนวคิด หรือทฤษฎีอะไร
เป็นการทำงานไปตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์นั้นมากกว่า
คือการทำงานไม่มีขั้นตอนที่แน่นอน นึกอะไรได้ทำเลย
ท่านย้ำว่าเป็นการทำงานของคนจบ ป.4
ดัง
นั้น การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของพุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร
เป็นการทำหน้าที่ของพระสงฆ์โดยการนำหลักธรรม
ที่ตระหนักถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงตามกฎไตรลักษณ์
กล่าวคือทุกสภาวะมีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
พื้นที่ป่าเขาศาลาก็มีลักษณะเช่นนั้น
จากสภาพเมื่อก่อนพื้นที่ป่ามีความอุดมสมบูรณ์ เมื่อความเจริญเข้ามา
ชุมชนมีการขยายตัว และได้รับวัฒนธรรมตลอดจนสื่อสารต่างๆ
ทำให้พื้นที่มีการเปลี่ยนแปลง ปัจจัยหลักๆ
คือเศรษฐกิจความเป็นอยู่ในชุมชนนั่นเอง
เพื่อความอยู่รอดชาวบ้านได้ขยายอาณาเขตกว้างขึ้น
พระสงฆ์ตระหนักถึงสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น
กล่าวคือมีความเข้าใจสภาพการเปลี่ยนแปลง ได้จัดการเพื่อยุติปัญหา
และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์กับสิ่งมีชีวิตมีความเกี่ยวโยงกันจะขาดระบบใดระบบ
หนึ่งไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ รัฐ ชุมชน ให้การสนับสนุน
มีสถาบันการศึกษานำคณะครูนักเรียนนักศึกษาเข้าไปศึกษาระบบนิเวศวิทยาอยู่ไม่
ขาดสาย
ปัจจุบัน
พุทธอุทยานวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร มีสภาพพื้นที่ป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์
จังหวัดสุรินทร์โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้โปรโมทต์ให้เป็นสถานที่
ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เชิงนิเวศ เชิงวัฒนธรรม
มีรอยพระพุทธบาทจำลองที่บ่งบอกถึงอารยะธรรมอันเก่าแก่ของขอมโบราณ
และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนผานางคอยเป็น ผาพระ
ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลิตผลที่ได้จากอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ของพระสงฆ์
ทั้งสิ้น
อ้างอิง
กรมป่าไม้. (2547). “สถิติป่าไม้ไทย”. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.forest.go.th สืบค้น 27 มกราคม 2551
กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม. (2544). พระพุทธศาสนากับสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท.
กองแผนงาน กรมการศาสนา. (2539). คู่มือการปฏิบัติงานด้านศาสนา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ การศาสนา.
เกษม จันทร์แก้ว. (2530). ป่าไม้กับการพัฒนาชนบท. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชนสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย.
เทียม คมกฤส. (2514). นโยบายป่าไม้. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อักษรการพิมพ์.
นิวัติ เรืองพานิช. (2538). การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : เฉลิมชัย
การพิมพ์.
ฝ่ายศาสนากับป่าไม้ ส่วนทรัพยากรที่ดินและป่าไม้. (มปป.). ข้อเท็จจริงระหว่างพระสงฆ์กับ ป่าไม้ และนโยบาย แก้ไขปัญหาของกรมป่าไม้. (มปท.). สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ กรมป่าไม้.
พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2530. (2534). พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพมหานคร : วัฒนาพานิช.
พรชุลี อาชวอำรุง และคณะ. (2549). รายงานฉบับย่อ โครงการศึกษาวิจัยการศึกษาทบทวนโครงการ ครูพระสอน ศีลธรรมในโรงเรียน กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมชน สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). (2537). คนไทยกับป่า. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ : มูลนิธิพุทธธรรม.
____________________. (2543). คนไทยกับป่า. กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ องค์การค้า ของคุรุสภา.
ไพฑูรย์ ปานประชา. (2540). แบบเรียนพระพุทธศาสนา 2. กรุงเทพฯ : พรีเมียร์บุ๊คส์จำกัด.
สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม. (2542). รายงานสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ภาคอีสาน ตอนล่าง พ.ศ. 2541- 2542. (ม.ป.ท.)
นิวัติ เรืองพานิช. (2528). การอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม. กรุงเทพฯ : เฉลิมชาญการ พิมพ์.
อัจฉรา ภาณุรัตน์. (2551). บันทึกการประชุมเตรียมงานสัมมนาทางวัฒนธรรมเชิงนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติพระนาง เจ้าสิริกิต์ 70 พรรษา. วันที่ 1 มิถุนายน 2551. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์.
ข้อมูลภาคสนาม
สัมภาษณ์พระพิศาลศาสนกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร พรรษา 35 อายุ 55 เมื่อ วันที่ 14 เดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2551
สัมภาษณ์พระครูไพโรจน์วุฒิคุณ รองเจ้าอาวาสวัดเขาศาลาอตุลฐานะจาโร พรรษา 20 อายุ 40 เมื่อ วันที่ 5 เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2551
[1] พระมหาเฉลิมเกียรติ แก้วหอม. พธ.บ. (การเมืองการปกครอง), ศศ.ม. (ยุทธศาสตร์การพัฒนา), ปัจจุบันกำลังศึกษา Ph.D. (Leadership and Administration)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น