วัน
หนึ่งพญานกยูงทองได้ไปดื่มน้ำในสระแห่งหนึ่ง มองเห็นเงาของตนในน้ำ
จึงได้รู้ว่าตนนี้มีรูปงามยิ่งกว่านกยูงทั้งหลาย จึงคิดว่า
ถ้าเราขืนอยู่รวมกับหมู่นกยูงทั้งหลายอาจจะนำพาภัยมาถึงหมู่คณะและแก่ตัวเอง
ได้
เห็นทีเราจะต้องหลีกออกเสียจากหมู่ไปหาที่อยู่ใหม่
คงจะต้องไปให้ไกลจนถึงป่าหิมพานต์ เราจึงจะพ้นภัย
พญานกยูงทองนั้นคิดเช่นนี้แล้ว จึงออกบินไปด้วยกำลัง
ไม่ช้านักก็ถึงป่าหิมพานต์นั้น
เสาะแสวงหาได้ถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาสูงชัน
ณ ป่าหิมพานต์นั้นเป็นที่อยู่อาศัย เป็นชัยภูมิที่เหมาะสม
และปลอดภัยจากสัตว์ร้ายทั้งหลาย
ครั้นรุ่งขึ้น พระโพธิสัตว์จึงได้ออกจากถ้ำ บินไปจับบนยอดเขา
หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) แล้วเพ่งมองดวงอาทิตย์ยามเช้า
พร้อมกับสาธยายพระปริตร ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "อุเทตะยัญ
จักขุมาเอกะราชา ฯลฯ " เป็นต้น เพื่อป้องกันรักษาตนในเวลากลางวัน
แล้วจึงเที่ยวออกไปแสวงหาอาหาร
ครั้นถึงเวลาเย็น เมื่อจะบินกลับเข้าที่อยู่ พญานกยูงทอง
ก็ไม่ลืมที่จะบินขึ้นไปจับอยู่บนยอดเขา หันหน้าสู่ทิศตะวันตก
แหงนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงลับขอบฟ้าไป แล้วสาธยายมนต์พระปริตรขึ้นว่า "อะเปตะยัญ จักขุมา เอกะราชา ฯลฯ " เป็นต้น เพื่อป้องกันภัยและรักษาตนในเวลาตลอดราตรี แล้วจึงบินกลับเขาไปอาศัยอยู่ในถ้ำจนตลอดรุ่ง
เช้าตรู่ของวันใหม่ พญายูงทอง ก็ทำดังนี้ ทุกวันมิได้ขาด
พร้อมได้สถิตสถาพรตั้งมั่นอยู่ในความสุขสำราญตลอดมา โดยมิมีทุกข์ภัยใดๆ
มากล้ำกรายได้เลย กาลต่อมา มีพรานป่าผู้หนึ่งเดินหลงป่ามา
ได้พบเห็นพญานกยูงทองที่เกาะอยู่บนยอดขุนเขานั้น แต่ก็มิได้ทำประการใด
เพราะมัวแต่พะวงกับการหาทางออกจากป่า จนพรานผู้นั้นหาทางกลับบ้านของตนได้
แต่ก็มิได้เล่าเรื่องที่ตนได้พบเห็นพญานกยูงทองนั้นแก่ผู้ใด
จวบจนเวลาที่ตนแก่ใกล้ตายจึงได้บอกเรื่องพญายูงทองให้แก่บุตรของตนได้ทราบ
แล้วสั่งว่าควรนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่พระราชาให้ทรงทราบ
สั่งบุตรของตนแล้วก็สิ้นใจตาย
ต่อมาภายหลัง พระมเหสีของพระราชาเจ้าเมืองพาราณสี
ทรงพระสุบินนิมิตรว่า ขณะที่พระนางทรงประทับอยู่ภายในพระราชอุทยาน ณ
ริมสระปทุมชาติ ได้มีนกยูงสีทองบินมาจากทิศอุดร แล้วร่อนลงจับอยู่ ณ
ขอนไม้ใหญ่ท่อนหนึ่ง แล้วนกยูงทองนั้นก็ได้ปราศรัย
แสดงธรรมให้แก่พระนางฟัง เมื่อพญายูงทองนั้นแสดงธรรมจบแล้ว
จึงได้บินกลับสู่ทิศอุดรเช่นเดิม ในฝันพระนางได้ตะโกนร้องบอกแก่บริวารว่า
ช่วยกันจับนกยูงที ช่วยกันจับนกยูงที พระนางตะโกนจนกระทั้งตื่นบรรทม
นับแต่นั้นมา พระนางอาลัยปรารถนาจักได้นกยูงทองตัวนั้นมา
จึงออกอุบายแสร้งทำเป็นทรงพระประชวร ด้วยอาการแพ้พระครรภ์
แล้วทูลขอพระสวามีว่า
การแพ้ท้องครั้งนี้จักหายได้ ก็ต่อเมื่อหม่อมฉันได้มีโอกาสเห็นพญานกยูงทอง
และได้สดับธรรมที่พญานกยูงทองนั้นแสดง
พระเจ้าพรหมทัตต์
จึงทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์เหล่าพรานไพรทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในเมืองพาราณสีและรอบอาณาเขตพระนคร เมื่อบรรดาพรานไพรมาประชุมพร้อมกันแล้ว
พระราชาจึงทรงตรัสถามว่า มีใครรู้จักนกยูงสีทองบ้าง ขณะนั้นพรานหนุ่มผู้ซึ่งเคยได้รับคำบอกเล่าจากบิดาว่า ได้เคยเห็นนกยูงทอง
จึงลุกขึ้นกราบบังคมทูลเนื้อความนั้นแก่พระราชา พร้อมทั้งกราบทูลแจ้งที่อยู่ของพญานกยูงทองแก่ พระราชาด้วย
พระเจ้าพรหมทัตต์ จึงทรงมีพระบัญชาว่า
ดีหล่ะในเมื่อเจ้าพอจะรู้ถึงถิ่นที่อยู่ของพญายูงทอง
เราก็จะตั้งให้เจ้าเป็นพรานหลวงไปจับนกยูงทองตัวนั้นมาให้เราและพระมเหสี พรานหนุ่มรับพระบัญชาจากพระราชา
แล้วออกเดินทางไปสู่ป่าหิมพานต์ เพื่อที่จะจับยูงทองตัวนั้นมาถวายพระราชาให้จงได้
จวบจนวันเวลาล่วงเลยไปหลายสิบปี พรานหนุ่มซึ่งบัดนี้แก่ชราลงแล้ว
ก็ยังมิสามารถจับพญานกยูงทองนั้นได้ ครั้นจะกลับไปยังบ้านเมืองก็เกรงจะต้องอาญา
จึงทนอยู่ในป่าหิมพานต์จนกระทั่งตาย
ส่วนพระเทวี เมื่อเฝ้ารอพญายูงทองที่ส่งนายพรานไปจับ
ก็ยังไม่เห็นมาจนกระทั่งตรอมพระทัยตายในที่สุด
พระเจ้าพรหมทัตต์ทรงเสียดายอาลัยรักพระมเหสีเป็นที่ยิ่งนัก จึงทรงดำริว่า
พระมเหสีของเราต้องมาตายโดยยังมิถึงวัยอันควร
เหตุน่าจะมาจากพญานกยูงทองตัวนั้นเป็นแน่ บัดนี้เราก็แก่ชราลงมากแล้ว
คงจะไม่มีโอกาสเห็นนายพรานคนใดจับนกยูงทองตัวนั้นได้เป็นแน่
ดีหละถ้าเช่นนั้นเราจะผูกเวรแก่นกยูงตัวนี้ ทรงดำริดังนั้นแล้ว
จึงมีรับสั่งให้นายช่างทองสลักข้อความว่า
หากผู้ใดได้กินเนื้อของพญานกยูงทอง ที่อาศัยอยู่ ณ ป่าหิมพานต์
จักมีอายุยืนยาวไม่แก่
ไม่ตาย ลงในแผ่นทอง แล้วเก็บรักษาไว้ในท้องพระคลัง
ต่อมาไม่นานพระเจ้าพรหมทัตต์ก็ถึงกาลทิวงคตลง
แผ่นทองจารึกนั้นตกถึงมือของยุวกษัตริย์องค์ต่อมา
เมื่อทรงรู้ข้อความในแผ่นทองจารึกนั้นก็หลงเชื่อ
มีรับสั่งให้พรานป่าออกไปตามจับพญานกยูงทองมาถวาย
และแล้วพรานไพรนั้นก็ต้องไปตายเสียในป่าอีก
เหตุการณ์ได้ดำเนินไปเช่นนี้
จนสิ้นเวลาไป 693 ปี พระราชาในราชวงศ์นี้ทิวงคตไป 6 พระองค์
แม้ว่าจะสิ้นพรานป่าไป 6 คน
พระราชาทิวงคตไป 6 พระองค์
ก็ยังหามีผู้ใดมีความสามารถจับพญายูงทองโพธิสัตว์ได้ไม่ จวบจนถึงรัชสมัยพระราชาองค์ที่ 7 ผู้ครองกรุงพาราณสี ได้คัดสรรจัดหาพรานป่าผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด
เป็นคนละเอียดรู้จักสังเกต รู้กลอุบาย
นายพรานคนที่ 7 เมื่อได้รับพระบัญชาจากพระราชาให้ออกไปจับนกยูงทอง
ณ ป่าหิมพานต์ ก็จัดเตรียมอุปกรณ์พร้อมบ่วงบาศเพื่อจะไปดักจับพญายูงทอง พรานนั้นใช้เวลาในการดักจับพญายูงทองสิ้นเวลาไป
7 ปี
พญายูงทองก็หาได้ติดบ่วงของนายพรานไม่ นายพรานจึงมาใคร่ครวญดูว่าทำไมบ่วงของเราจึงไม่รูดติดข้อเท้าของพญายูงทอง แต่ก็หาคำตอบได้ไม่
พรานนั้นก็มิได้ละความพยายาม เฝ้าสังเกตกิริยา และกิจวัตรประจำวันของพญายูงทอง
จึงได้รู้ว่าทุกเช้า และทุกเย็นพญานกยูงทอง จักเจริญมนต์พระปริตร
โดยช่วงเช้าบ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออกมองพระอาทิตย์
ตอนเย็นหันหน้าไปทางทิศตะวันตกมองพระอาทิตย์ แล้วสาธยายมนต์ พรานนั้นสังเกตต่อไปว่า
ในที่นี้หาได้มีนกยูงตัวอื่นอยู่ไม่ แสดงว่าพญานกยูงนี้ยัง รักษาพรหมจรรย์อยู่
คงด้วยอำนาจของการรักษาพรหมจรรย์และมนต์พระปริตร
ทำให้บ่วงของเราไม่ติดเท้านกยูงทอง
ครั้นนายพรานได้ทราบมูลเหตุดังนั้นแล้ว
จึงคิดจะขจัดเครื่องคุ้มครองของพญานกยูงทองเสีย
นายพรานนั้นจึงเดินทางกลับสู่บ้านของตน
แล้วออกไปดักนกยูงตัวเมียที่มีลักษณะดีในป่าใกล้บ้าน ได้มาหนึ่งตัว
แล้วจึงทำการฝึกหัดให้นางนกนั้น รู้จักอาณัติสัญญา เช่น
ถ้านายพรานดีดนิ้วมือ
นางนกยูงก็จะต้องร้องขึ้น ถ้าปรบมือนางนกยูงก็จะทำการฟ้อนรำขึ้น
เมื่อฝึกสอนนางนกยูงจนชำนิชำนาญดีแล้ว
พรานนั้นก็พานางนกยูงเดินทางไปยังที่ที่พญานกยูงทองอาศัยอยู่
แล้วทำการวางบ่วงดักเอาไว้ ก่อนที่พญายูงทองจะเจริญมนต์พระปริตร
พรานได้วางนางนกยูงลงใกล้ๆ กับที่ดักบ่วง แล้วดีดมือขึ้น
นางนกยูงก็ส่งเสียงร้องด้วยสำเนียงอันไพเราะจับใจ
จนได้ยินไปถึงหูของพญายูงทองโพธิสัตว์
คราที่นั้นเอง กิเลสกามที่ระงับด้วยอำนาจของตบะที่หลบอยู่ในสันดาน
ก็ได้ฟุ้งซ่านขึ้นในทันที
เสียงนางยูงทองนั้นทำให้พญายูงทองโพธิสัตว์มีจิตกระสันฟุ้งซ่านเร่าร้อนไป
ด้วยไฟราคะ
ครอบงำเสียซึ่งตบะของพญานกยูงทอง
ไม่สามารถมีจิตคิดจะเจริญมนต์พระปริตรสำหรับป้องกันตนได้เลย
พญานกยูงทองโพธิสัตว์ จึงได้ออกจากคูหา
แล้วโผผินบินไปสู่ที่ที่นางนกยูงยืนส่งเสียงร้องในทันที
ขณะที่มัวสนใจในรูปโฉมของนางนกยูง
พลันเท้านั้นก็เหยียบยืนเข้าไปในบ่วงบาศของพรานที่วางดักไว้ บ่วงใดๆ
ที่มิได้เคยร้อยรัดพระมหาโพธิสัตว์ยูงทองตลอดเวลา ๗๐๐ ปี บัดนี้
พญายูงทองโพธิสัตว์ ได้โดนบ่วงทั้ง
สองร้อยรัดสิ้นอิสระเสียแล้ว บ่วงทั้งสองนั้นก็คือ "บ่วงกาม" "บ่วงบาศ"
โอ้หนอ
บัดนี้ทุกข์ภัยได้บังเกิดต่อพญานกยูงทองโพธิสัตว์เสียแล้ว เป็นเพราะเผลอสติแท้ๆ
เพราะนางนกยูงตัวนี้เป็นเหตุ จึงทำให้พญายูงทองมีจิตอันเร่าร้อนไปด้วยกิเลส
จนต้องมาติดบ่วงของเรา การที่เรามาทำสัตว์ผู้มีศีลให้ลำบากเห็นปานนี้
เป็นการไม่สมควรเลย จำเราจะต้องปล่อยพญานกนี้ไปเสียเถิด
แต่ถ้าเราจะเดินเข้าไปปล่อย พญานกยูงทองนั้น ก็จะดิ้นรนจนได้รับความลำบาก
เห็นทีเราจะต้องใช้ธนูยิงสายบ่วงนั้นให้ขาด เพื่อพญานกจะได้หลุดจากบ่วง
ที่คล้องรัดอยู่ นายพรานคิด
ครั้น นายพรานผู้มีใจเป็นธรรมคิดดังนั้นแล้ว
จึงจัดการนำลูกธนูมาขึ้นพาดสาย แล้วเล็งตรงไปยัง เชือกบ่วงที่ผูกติดกับต้นไม้
เพื่อหมายใจจะให้เชือกขาด พญานกยูงทองโพธิสัตว์ครั้นได้แลเห็นนายพรานโก่งคันศรก็ตกใจกลัว ว่านายพรานจะยิ่งตนตายด้วยลูกศร
จึงร้องวิงวอนขอชีวิตต่อนายพรานว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ถ้าท่านจับเราเพราะต้องการทรัพย์แล้วหละก็ ขออย่าได้ฆ่าเราเลย จงจับเราเป็นๆ
เอาไปถวายพระราชาเถิด พระราชาจะปูนบำเหน็จให้ท่านอย่างงามทีเดียวหละ
พราน
ป่าเมื่อได้ฟังนกยูงทองร้องบอกและขอชีวิตดังนั้น
จึงกล่าวว่า เรามิได้มีความประสงค์จะฆ่าท่านหรอก การที่เราเล็งศรไปยังท่าน
ก็เพียงเพื่อจะยิงเชือกบ่วงให้ขาด เพื่อปล่อยท่านให้เป็นอิสระ พญา
นกยูงทองโพธิสัตว์จึงร้องขอบใจต่อนายพราน
พร้อมทั้งแสดงอานิสงฆ์ของการไม่ฆ่าสัตว์ และผลของการฆ่าสัตว์
ว่าจะได้รับโทษทุกข์ทัณฑกรรมนานา
อีกทั้งชี้แจงให้พรานป่าได้รู้ถึงผลของบุคคลผู้มีมิจฉาทิฐิ
ว่ามีโทษทำให้ตนและคนอื่นเดือดร้อน
ส่วนผู้มีสัมมาทิฐิย่อมมีผลที่ให้เกิดสุขทั้งตนและคนอื่น
ทั้งยังได้บอกประโยชน์ของการไม่คบคนพาล
คบบัณฑิต และที่สุดพญานกยูงทองก็ชี้ให้นายพรานได้เห็นทุกข์ภัยของสัตว์นรก
ว่าเกิดจากความเมาประมาทขาดสติ
เมื่อสิ้นสุดธรรมโอวาท
พรานนั้นก็ได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกโพธิญาณ
ส่วนพญายูงทองก็ได้พ้นจากบ่วงทั้งสอง คือบ่วงกาม
และบ่วงบาศที่เกิดจากเครื่องดักจับ พระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ทำการ
ประทักษิณแก่พญานกยูงทองโพธิสัตว์
แล้วก็เหาะขึ้นไปบนอากาศไปสถิตอยู่ ณ ถ้ำบนยอดเขานันทมูลคีรี
ที่มา : http://www.amulet.in.th/login. สืบค้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น