เทือกเขาพนมดงรัก ทำไมพระธุดงค์ไม่นิยมนิยมธุดงค์ผ่านมา
เทือกเขาพนมดงรัก
(ภาษาเขมรพื้นบ้านสุรินทร์ เรียกว่า “พนมดองเรียก หรือพนมดองแร็ก”)
เป็นเทือกเขาที่ทอดตัวยาวตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีไปจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์
เป็นแนวเทือกเขาที่มีความสำคัญในด้านยุทธศาสตร์ทางการทหาร
กล่าวคือเป็นแนวเขาที่มีป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นแนวกันชนแบ่งเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา
คือประเทศราชอาณาจักรกัมพูชา (ขแมร์กรอม)
ถ้าพิจารณาในด้านป่าไม้ตามแนวชายแดนดังกล่าว
จะเห็นสภาพป่ามีพื้นที่ต่อเนื่องถึงจังหวัดในภาคตะวันออกของไทยด้วย
ในท่ามกลางพื้นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์นี้ ก็ย่อมมีสรรพสิ่งทั้งหลายอาศัยอยู่ด้วย ซึ่งไม่เฉพาะแต่มนุษย์
สัตว์ป่าเท่านั้น ยังมีสิ่งเร้นลับมากมายอาศัยอยู่
สภาพป่าในพื้นที่เขาศาลา
และสภาพป่าโดยรวมบริเวณเทือกเขาพนมดงรัก
ในอดีตตามประวัติครูบาอาจารย์สายกัมมัฏฐาน (พระป่าสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต) มักไม่ค่อยนิยมเดินท่องป่าหาความสงบวิเวกในพื้นป่าบริเวณนี้นัก จะปรากฏก็แต่ในประวัติการปฏิบัติธรรมของท่านพ่อลีแห่งสำนักวัดอโศการาม จังหวัดสมุทรปราการ ที่ออกวิเวกกับคณะลูกศิษย์เท่านั้น และมีสายของหลวงพี่ฤษีลิงดำ (พระราชพรหมญาณมุนี ถ้าสมณะศักดิ์ของท่านผิดขออภัยด้วยนะครับ) เท่านั้นที่เดินผ่านมาทางนี้ สาเหตุหลักๆ ที่ได้ฟังจากคำบอกเล่าของครูบาอาจารย์ ก็คือป่าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชานี้มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากในอดีตพื้นที่บริเวณแถบนี้เป็นพื้นที่สีแดง มีการสู่รบกับมาก่อน อาวุธสงครามต่างๆ เช่น มีการวางทุ่นระเบิดไว้ กองกำลังไม่ทราบอาวุธซ่อนอยู่ ดังนั้น ถ้าพระป่า หรือพระสงฆ์ที่ต้องการเที่ยววิเวกอาจได้รับความเสี่ยง ถือเป็นที่อโคจรของพระสงฆ์ และที่สำคัญยิ่งกว่า คืออันตรายกว่ากระสุนปืน และทุ่นระเบิดคือ พื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ ในอดีตขึ้นชื่อมากที่สุดด้านการเล่นของ คือวิทยาการของคุณไสย์ ที่เราได้ยินและรู้จักกันว่าไสยศาสตร์ โดยเฉพาะฝั่งจังหวัดสุรินทร์นั้น ของแรงมากเนื่องจากผู้ร่ำเรียนในศาสตร์นี้ ข้ามฝั่งไปเรียนที่เขมร ในหมู่คนเล่นของแบบนี้จะรู้จักกันว่า “เขากิเลน” ฟังดูเหมือนนิยายปรัมปรา แต่ความสามารถด้านคุณไสย์ของคนบางกลุ่มในพื้นที่เหล่านี้มีอยู่จริง บุคคลที่จะต้องโดนก่อนใครเขาคือ พระสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์ที่เรียกตัวเองว่าพระป่ากัมมัฏฐาน เพราะคนที่เป็นจอมขมังเวทย์มักคิดว่าพระสงฆ์มีคาถาดี ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่กล้าเดินป่าหาความวิเวกรูปเดียวแน่นอน
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนในพื้นที่ โดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะตนยังไม่เคยประสบมาด้วยตนเอง อีกอย่างคิดว่า ถ้าเก่งจริงก็น่าจะเสกรถเบ็นซ์สักคันเข้าท้องคนจนๆ เวลารักษาเสร็จก็จะได้รถไว้ใช้ (ความคิดส่วนตัว) แต่จากการได้อยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์เรื่องแบบนี้บางทีไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะ เพราะเห็นคนที่เรียกตัวเองว่าโดนของมา กับครูบาอาจารย์ที่ท่านโดนเขาใส่คุณไสย์มันเหมือนกันเลย อาการเดียวกัน จะตายให้ได้ เมื่อได้รับการรักษาก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
ท่านพระอาจารย์เยื้อนกล่าวว่าไว้ในคำเทศน์ของท่านว่า
“จิตกับร่างกายคนละคนกัน จิตนั้นเป็นนามธรรมที่คุณไสย์ทั้งหลายไม่สามารถทำลายได้
แต่ร่างกายซึ่งเป็นรูปธรรม ของทุกอย่างที่เขาปล่อยมา ร่างกายจะรับเต็มๆ
เพราะฉะนั้นใครที่ภาวนาดีขนาดไหนก็หลบไม่ได้
เว้นแต่ปล่อยมาไม่ถูกแค่นั้นแหละ
คือร่างกายทรมานเจ็บปวดไปตามอาการที่เขาให้เป็น แต่ด้านจิตใจไม่มีอะไร จิตไม่กระทบกระเทือน
แต่เนื่องจากจิตยังต้องอาศัยร่างกายในการเป็นอยู่ จึงต้องทรุดไปตาม” คือจิตไม่เป็นไรครับ
ต่อให้ของขลังแต่ไหนก็ไม่สามารถทำให้จิตเป็นไปตามได้
(สำหรับผู้ที่ท่านปฏิบัติถึงขั้นแล้วนะ) แต่ร่างกายของท่านยังไม่ถูกทำลาย
(ตายแล้วเผา) มันก็ต้องเป็นเป้ารับของที่เขาปล่อยมาเต็มๆ
ที่กล่าวถึงประเด็นนี้ไม่ได้บอกว่าพิธีกรรมการรักษาของหมอพื้นบ้านเกี่ยวกับการรักษาคุณไสย์ที่ปรากฏได้ยินตามที่ต่างๆ
จะขลังตามไปด้วยนะ
การรักษาก็ขึ้นอยู่กับหมออีกนั่นแหละ
ถ้าไม่จบมาด้านนี้โดยตรงก็ไม่มีความรู้พอที่จะรักษาใครได้ และคนที่รักษาได้จริงๆ
เขาก็ไม่เปิดเผยตัวต่อสาธารณะชนมากนัก เพราะตัวเขาเองก็มีของเหมือนกัน
คือร่ำเรียนคุณไสย์มาเหมือนกัน (รู้เขา-รู้เรา-จึงจะสามารถรักษาคนได้) ที่เรียกว่า
“พนมดงรัก” นั้นเพราะคนในพื้นที่มีความเชื่อว่า
เทือกเขาลูกนี้มีลักษณะสัณฐานเหมือนกับไม้คาน ที่เอาไว้สำหรับหาบสิ่งของต่างๆ
(ข้อมูลทางภูมิศาสตร์ท่านที่สนใจสามารถสืบค้นเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ
นะครับ) เป็นเสมือนกำแพงสูงหนาทึบที่กั้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม
ชาวบ้านทั้งสองเชื้อชาติในอดีตก็มีการติดต่อค้าขายซึ่งกันและกัน เป็นการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างกัน
ผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่อของชาวเขมรในอดีตก็คือปลาร้า ปลาจ่อม ส่วนฝั่งไทยก็มีเกลือไว้แลก
แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถข้ามกำแพงเมืองใหญ่นี้ได้
และสามารถหล่อมรวมหลายเผ่าพันธุ์ให้อยู่กันอย่างมีความสุข คือความรัก
หนุ่มสาวฝั่งไทยมีการแต่งงานกัน แม้ผู้นำระดับเจ้าเมืองก็มีการกระทำในลักษณะนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเชื่อว่าถ้าคนในสองครอบครัวสองเผ่าพันธุ์มาอยู่ด้วยกันก็สามารถสร้างความยิ่งใหญ่
ความสามัคคี ให้เกิดขึ้นได้
กลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่
และประเพณีของคนในพื้นที่
เทือกเขาพนมดงรัก ถ้าพิจารณาจากชื่อทางภูมิศาสตร์ที่ปรากฏเป็นเทือนกเขา
บ่งบอกได้ทันที่ว่า พื้นที่นี้มีกลุ่มชาติพันธุ์เขมรอาศัยอยู่เป็นหลัก
และที่มากสุดก็ในส่วนของพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ อำเภอบัวเชด อำเภอสังขะ
อำเภอกาบเชิง อำเภอพนมดงรัก ส่วนพื้นที่นอกนั้นทุกวันนี้มีผสมหลายเผ่าพันธุ์ทั้งลาวอีสาน
ส่วย เยอ
ทุกวันนี้ยังมีฝรั่งตะวันตกเข้ามาร่วมด้วย เรียกว่ามีความหลากหลายทางวัฒนธรรม เนื่องจากพื้นที่แถบนี้ในอดีตเป็นป่าทึบศาสนาสากลต่างๆ
ยังเข้าไม่ถึง คนส่วนใหญ่จึงหันมานับถือผี
เพราะเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วโดยเฉพาะปู่-ย่า, ตา-ยาย, พ่อ-แม่
ของตนนั้นท่านจะมารักษาคุ้มครอง ปกป้องภัยพิบัติต่างๆ ให้
สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนระลึกถึงบรรพชนของตนได้เสมอคือ ไร่-นา-สวน
ที่ท่านเหล่านั้นทิ้งไว้ให้เป็นทรัพย์มรดกตกทอด
(มีเพิ่มเติมอีกนะครับ คอยติดตามตอนต่อไป)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น