บันทึกการเดินทาง[1]
สู่ชุมชนปราสาทเยอ
ต.ปราสาทเยอ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ
วันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554
บทนำ
การศึกษาระดับดุษฎีบัณฑิต หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค
เป็นการศึกษาบนพื้นฐานของการทำวิจัยเพื่อก้าวไปสู่การนักยุทธศาสตร์ และนักพัฒนาในระดับต่างๆ ในอนาคต
ซึ่งนักศึกษาหลักสูตรนี้ต้องมีความชำนาญการวิจัยเชิงคุณภาพแนวมานุษยวิทยา หรือแนวชาติพันธุ์วรรณนาเป็นหลัก
เพราะมีความเชื่อว่าการจะพัฒนาให้ตรงจุดนั้นจะต้องมีความรู้ในภูมิหลังของชุมชนให้มากที่สุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น นักศึกษาจะเป็นไปตามเป้าประสงค์ของหลักสูตรหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับตัวนักศึกษาเองว่าจะมีพัฒนาการและการเรียนรู้ได้มากแค่ไหน เพื่อก้าวสู่การเป็นนักวิจัย นักยุทธศาสตร์
และนักพัฒนา
สิ่งนี้ตำราในห้องเรียนไม่มีสอน
อยากเป็นนักวิจัยฯ ต้องฝึกและฝึกจนชำนาญ
ดังนั้น รศ.ดร.อัจฉรา
ภาณุรัตน์ อาจารย์ผู้บรรยายในรายวิชาบริบทและแนวโน้มการพัฒนาภูมิภาค
และประธานหลักสูตรฯ ประสงค์จะให้นักศึกษาในระดับปริญญาโท
สาขายุทธศาสตร์การพัฒนา
สาขาวิจัยและพัฒนาท้องถิ่น และนักศึกษาปริญญาเอก
สาขายุทธศาสตร์การพัฒนาภูมิภาค รุ่น 8 ลงพื้นที่ภาคสนาม ซึ่งในครั้งนี้ได้เลือกชุมชนบ้านปราสาทเยอ
ซึ่งผู้สอนมีความเชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่ยังคงความบริสุทธิ์
ความเป็นชนเผ่ายังคงหลงเหลือให้ได้ศึกษาอยู่
เป็นกุศโลบายให้นักศึกษาได้ฝึกการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงประจักษ์ และเรียนรู้สภาพจริง เมื่อเห็นแล้วจะมีแนวคิดในการพัฒนาอย่างไร จะวิจัยอะไรได้บ้าง
และจากประสบการณ์ที่ได้รวบเดินทางในครั้งนี้ ผู้เขียนแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.
เป็นบันทึกการเดินทาง 2. เป็นข้อมูลภาคสนามที่ได้จากการถอดเทป (ข้อมูลดิบๆ)
จุดนัดพบการเดินทาง
ในกำหนดการที่ออกมา รถออกจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์หน้าตึกช้าง
เวลา 04.00 น.
เพื่อนบางคนมีการติดต่อกันทางเฟสบุ๊คให้รีบตื่นเดี๋ยวไม่ทันเพราะศรีสะเกษอยู่ไกลจากสุรินทร์มาก
(แซวกันเล่นๆ )
ข้าพเจ้านึกพิจารณาในใจแล้วลงมติกับเพื่อนนักศึกษาด้วยกันที่เป็นพระว่า เราจะออกจากวัดเวลา 05.00 น. เพราะกิจของพระมีการจำกัดเวลาไว้ตายตัว
คือในระหว่างพรรษาจะออกจากวัดต้องให้ได้อรุณเสียก่อน (คือสามารถดูลายมือเห็นชัดเจน
หรือไม่ก็ดูใบไม้ก็รู้ได้ว่าเป็นใบแก่หรือใบอ่อน)
จึงจะสามารถออกไปทำกิจธุระนอกวัดได้ เช่น ออกบิณฑบาต ไปกิจธุระอื่นๆ แต่เนื่องจากในกำหนดการมีการกำหนดเวลาไว้ตีสี่ ข้าพเจ้าจึงปรึกษากับท่านพระครูฯ เจ้าอาวาส
เพื่อให้แน่ใจว่าการไปของเราไม่ผิดพระวินัยและไม่ทำให้ผู้นำต้องระคายเคืองใจ ท่านก็ให้คำแนะนำว่าให้ทำสัตตาหะกรณียะ
เมื่อได้ความชัดอย่างนั้นแล้วก็ได้จัดตระเตรียมสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ในการเก็บข้อมูล ข้าพเจ้าออกจากวัดเวลา 05.00 น.
เพราะคิดว่ายังไงเสีย
รถก็ต้องผ่านหน้าวัดในเวลา 05.30 น. เป็นแน่ แต่โอ้อนิจจา... ทุกอย่างมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้เท่าใดนัก รถออกจากมหาวิทยาลัยเวลาเกือบๆ หกโมงเช้า ถ้านานกว่านี้นิดหน่อยคงได้เห็นเพื่อนๆ
ออกปฏิบัติศาสนกิจแน่เลย
และที่แย่กว่านั้นคือ พระมีชัยโทรมาบอกว่าไม่มีรถออกมา ถ้าไม่ทันคงไม่ได้ไปด้วยน่ะ สรุปแล้วคนที่ขึ้นรถหลักเขาคือพระมีชัย
ถ้าเป็นทหารก็คงจะเป็นนายพลผู้นำทับ
แต่นี้มันไม่ใช่เลย ข้าพเจ้ารอขึ้นรถที่หน้ามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ เพราะอยู่ด้านหน้าวัดพอดี
รถที่ไปในวันนี้มี
2 คัน นศ.ป.โท จะขึ้นรถบัสคันใหญ่มี ผศ.ดร.วาสนา แก้วหล้า นำทัพ
ในการบรรยายให้ความรู้ตลอดทาง ส่วน
นศ.ป.เอก ขึ้นรถของบัณฑิตคันงามดูดีมีระดับนิดหน่อย พอก้าวแรกขึ้นรถก็ได้ยินเสียงของสุภาพสตรีท่านหนึ่งเจื้อยแจ้วเป็นการสร้างบรรยากาศ เจ้าของเสียงก็คือ รศ.ดร.อัจฉรา ภาณุรัตน์
หรือที่รุ่นพี่และเพื่อนๆ เขาเรียกท่านว่า อาจารย์แม่ คุณแม่
เสด็จแม่
สมญานามเหล่านี้น่าจะเป็นพลังความรู้ที่ท่านมีจนไม่รู้จะเก็บไว้อย่างไรได้ ก็ระเบิดออกมาถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ทุกรุ่นที่เข้ามาเรียนมากกว่า ระหว่างที่รถกำลังแล่นไปเรื่อยๆ
ข้าพเจ้าก็ได้บันทึกเสียงการบรรยายของอาจารย์ไว้
พร้อมกับจดบันทึกไว้ในสมุด
เส้นทางการเข้าถึงชุมชน
รถยนต์ขบวนของเราออกจากมหาวิทยาลัยไปทางถนนเลี่ยงเมือง
สายสุรินทร์ - สังขะ มุ่งหน้าสู่อำเภอขุขันธ์บนทางหลวงเส้นทาง 211 กรุงเทพ-เดชอุดม
หรือจะไปสายศีรขรภูมิ – อุทุมพรพิสัย ก็ได้ เมื่อเข้าสู่เขตอำเภอขุขันธ์ได้แวะรับประทานอาหารเช้า
(ฉัน) ที่ปั้มน้ำมัน ปตท. สำหรับอาหารพระอาจารย์ รศ.ดร. อัจฉรา เป็นเจ้าภาพ
ซึ่งอาหารมีอยู่ 3 อย่าง คือไข่ทอด ผัด กับต้มเนื้อ พระมี 3 รูป
อาหารดูเยอะในใจก็รู้สึกเกรงใจเหมือนกัน
เพราะสังเกตดูอาหารที่อาจารย์ทานนิดเดียวเพียงข้าวราดแกงจาน 1
ขณะที่นั่งฉันอยู่ก็มี นศ.ป.โท นำข้าวก่ำ (ข้าวเหนี่ยวดำ)
มาถวายพร้อมกับไก่ย่างขาหนึ่งชิ้นใหญ่
ข้าพเจ้าพยายามฉันเฉพาะอาหารที่อาจารย์ถวายให้หมด
ส่วนข้าวก่ำถ้าเหลือยังไงก็สามารถให้ร้านเอาใสถุงไปฉันข้างหน้าได้ เมื่อกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ได้ทำธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าได้สอบถามคนที่เข้าห้องน้ำด้วยกันว่า จากนี้ไปไกลไหมกว่าจะถึงปราสาทเยอ ได้รับคำตอบว่าไม่ไกล ประมาณ 30 ก.ม. ก็จะถึงแล้วครับ
ระหว่างที่เดินทางนั้น
อาจารย์ได้ถามเกี่ยวกับหัวข้อการทำวิทยานิพนธ์ทุกคน
ว่าใครได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมไปถึงไหนแล้ว เพื่อนๆ ก็ได้นำเสนอในส่วนของตนตามที่ได้รับคำชี้แนะมาบ้างแล้ว ส่วนข้าพเจ้านั้น ได้นำเสนอในประเด็นที่ตนสนใจเกี่ยวกับการนำหลักธรรม
คืออปริหานิยธรรม 7 มาใช้กับวิถีประชาธิปไตย ในกลุ่มชาติพันธุ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งอาจารย์ก็ได้เสนอแนะในเบื้องต้นว่า ให้ไปศึกษาประเด็นฮีต 12 คอง 14
แล้วมาเปรียบเทียบกับหลักธรรมนี้
ว่าสามารถเข้ากันได้ไหม
ซึ่งในงานจะมี 2 มิติ คือมิติด้านเกี่ยวกับลาว และพุทธศาสนา แต่ข้าพเจ้าสนใจชุมชนเขมรมากกว่า ทราบอยู่ว่าไทยกับเขมรกำลังมีปัญหา แต่มา ณ วันนี้ทุกอย่างมันดีแล้ว
ดังนี้เรื่องที่จะทำวิจัยนั้น ซึ่งข้าพเจ้าได้คิดแล้วคิดอีก จากข้อมูลในเบื้องต้น
จึงทำให้ได้หัวข้อว่า การพัฒนารูปแบบวิถีประชาธิปไตยวัฒนธรรมตามหลักอปริหานิยธรรม
7 ของกลุ่มชาติพันธุ์ไทย-กัมพูชา และคิดว่าจะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้อย่างลึกซึ้งต่อไป
ก่อนที่รถจะออกจากจุดแวะรับประทานอาหารนั้น อาจารย์กับสลับรถกัน โดยรถ ป.เอก ให้
ผศ.ดร.วาสนา ขึ้นมาบรรยายแทน ส่วน
รศ.ดร.อัจฉรา ไปขึ้นรถ ป.โท การบรรยายของ อ.วาสนา ฟังแล้วน่ากลัว
เพราะรู้สึกว่าท่านเก่ง
คนอื่นทำไม่ได้
แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามกลไกของมันอย่างนั้นเอง
ท่านก็พยายามถ่ายทอดอย่างเต็มที่
พื้นที่ศึกษา
หมู่บ้านปราสาทเยอ ด้านซ้ายมือก่อนเข้าสู่หมู่บ้าน
คือโรงเรียนบ้านปราสาทเยอ สองฝั่งข้างทางเป็นทุ่งนาเขียวขจีมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ จากคำบรรยายของอาจารย์วาสนาในเบื้องต้นว่า
ชุมชนบ้านปราสาทเยอมีครอบครัวใหญ่อยู่ 2 ครอบครัวคือ โยธี กับ..... เป้าหมายที่คณะเราไปนั้นคือวัดปราสาทเยอเหนือ ซึ่งในอดีตมีพระครูประสาธน์ขันธคุณ
หรือหลวงพ่อมุม อินฺทปญฺโญ ถนนทางเข้าหมู่บ้านเป็นถนนคอนกรีตกว้างประมาณ
250 ซม. จากถนนหลัก เมื่อผ่านเข้าสู่ประตูวัดซึ่งเราสามารถสังเกตเห็นแต่ไกล
ซุ้มประตูที่สร้างขึ้นมีลวดลายแบบขอมมีความแข็งแรงมั่นคง
ซึ่งดูแล้วมีความสวยงามและแฝงไว้ซึ่งมนต์ขลังแห่งอารยธรรมขอมในอดีต เมื่อเข้าสู่บริเวณวัดสามารถสังเกตได้ทันทีว่า
ภาพจากอดีตกำลังจะถูกกระแสโลกาวิวัฒน์เข้ามาแทรก
ถนนภายในวัดมีการทำเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก ภาพเสนาสนะมีการปรับปรุงปฏิสังขรณ์ใหม่ทราบในเบื้องต้นว่าจะมีงานกฐินพระราชทานจากในหลวงโดยทางจังหวัดเป็นตัวแทนพระองค์มาทอดที่วัด จึงต้องมีการปรับปรุงโบสถ์ใหม่ สภาพบริบทภายในวัดในอดีตเมื่อครั้งที่หลวงพ่อมุมยังมีชีวิตอยู่คงเป็นวัดที่มีผู้คนเข้ามาทำบุญเป็นจำนวนมาก และเป็นที่รู้จักของผู้คนทั้งหลาย
เพราะจากวัดบ้านนอกธรรมดาแต่มีกำลังสร้างเสนาสนะได้ใหญ่โต โดยเฉพาะโบสถ์นั้นวัดทั่วไปถ้าไม่มีกำลังทรัพย์หรือญาติโยมที่มีเงินจริงๆ
จะไม่สามารถสร้างได้เลย
แต่สำหรับวัดปราสาทเยอเหนือสิ่งเหล่านี้มีครบทุกอย่าง เช่น โบสถ์ ศาลาการเปรียญ
เจดีย์
หลังจากที่ลงจากรถแล้ว พวกเราก็ได้แยกย้ายกันเดินชมบริเวณวัดไปพลางๆ
ก่อน มีการบันทึกภาพสถานที่ต่างๆ ไว้
บ้างก็มีการจดบันทึกอย่างเอาจริงเอาจังมาก
บ้างก็เอาแต่ถ่ายรูปเสมือนมาเที่ยวชมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนต่างก็ไปไหว้รูปเหมือนหลวงพ่อมุม
อธิษฐานขอพรเพื่อให้ตัวเองเรียนจบ (ถ้าไม่ตั้งใจจะจบให้ไหมเนี๊ยะ) หลังจากนั้นอาจารย์ได้นัดกันไปพร้อมที่กุฎีท่านเจ้าอาวาส เพื่อกราบนมัสการและรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับบทบาทของหลวงพ่อมุม
ตลอดทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่ชาวชุมชนถือปฏิบัติ
ในการณ์นี้ได้ท่านพระอาจารย์มหาสุนันท์
เป็นผู้นำกล่าวรายงานให้ท่านเจ้าอาวาสทราบจุดประสงค์ที่ทางคณะเราเข้ามา ดูเหมือนพระท่านยังไม่ได้เตรียมตัว หรือผู้ประสานงานของเรายังไม่ได้ประสานมา แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้เป็นอย่างดี เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันชื่อ เจ้าอธิการ..........................
ภาษาการสื่อสารนับเป็นปัญหาอย่างมาก
เพราะหลวงพ่อท่านพูดภาษาไทยได้ไม่ค่อยชัด
สำเนียงภาษาจะออกไปทางภาษาเยอผสมภาษาลาวนิดๆ ทำให้เพื่อนบางคนงงไปตามๆ
กัน คือจับประเด็นได้ไม่ดีนัก เพราะพระท่านพูดกระโดดไปมา
เป็นกิริยาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของคนโบราณรู้สึกอะไรก็จะพูดออกมาเป็นความน่ารักทางภาษาท่าทางอย่างหนึ่งของคนพื้นบ้าน
เมื่อได้เวลาพ่อสมควรแล้วก็ได้ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม แยกย้ายกันเข้าชุมชนต่อไป
ขณะที่ยังอยู่ในเขตวัดนั้น
ข้าพเจ้าได้เข้าไปพูดคุยและถือโอกาสนี้สัมภาษณ์พระมหา...............
ซึ่งเป็นพระอาคันตุกะที่เดินทางมาจากที่อื่น
เป็นคนอำเภอภูสิงห์
ที่มาจำพรรษาที่นี่เพราะมีความศรัทธาเลื่อมใสในบารมีธรรมของหลวงพ่อมุม พระที่วัดแห่งนี้มีกิจวัตรข้อวัตรที่เคร่งครัดพอสมควร
กล่าวคือมีการถือการฉันอาสนะเดียวไม่มีการฉันอาหารเพล สวดมนต์ไหว้พระตามปกติ
แต่ไม่มีการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างเป็นรูปธรรม
สาเหตุจากการสังเกตน่าจะมาจากการที่พระที่บวชมาเป็นพระผู้เฒ่ามากกว่าพระหนุ่มเณรน้อย และส่วนที่เป็นพระหนุ่มนั้นก็คงบวชไม่นานออกพรรษาก็ต้องสึกหาลาเพศไป
จากการสัมภาษณ์พระสรุปได้ว่าหลวงพ่อมุมนั้นท่านมีบทบาทสำคัญหลายอย่าง
เช่นการเป็นครูสอนหนังสือให้กับคนในชุมชน
การเป็นหมอรักษาคุณไสย์ เป็นครูเพลง
แต่ที่เป็นที่เลื่องลือมากที่สุดคือท่านเป็นพระเกจิที่มีความขลัง พระเครื่องของท่านทุกรุ่นจะเป็นที่ต้องการอย่างมาก ขนาดท่านมรณภาพไปนานแล้วความขลังยังคงเหมือนเดิม
สภาพบริบทภายในวัด
บริเวณภายในวัดแห่งนี้เหมือนวัดบ้านทั่วๆ ไป คือมีชุมชนอยู่รอบข้าง
ถนนภายในวัดทำเป็นถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
พื้นที่ภายในบริเวณเป็นสนามหญ้าส่วนใหญ่ ไม่มีลานดินไว้สำหรับปัดกวาดเหมือนวัดป่า จะมีก็เฉพาะบริเวณศาลาการเปรียญ ปภร.
ด้านทิศใต้ของวัดมีสระน้ำขนาดใหญ่
ซึ่งจากการสังเกตพบว่าเป็นแหล่งน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ พระเณรสามารถใช้อุปโภคได้ตลอดปี และข้างๆ
สระน้ำมีระบบประปาซึ่งได้สร้างเป็นแท็งก์น้ำไว้สูงเพื่อสูบน้ำไว้ใช้ภายในวัด ดูรูปภาพเหล่านี้ประกอบ คือ
เนื่องจากวัดได้รับพระกรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
9 พระราชทานผ้ากฐินในปี พ.ศ. 2554
นี้ โดยมอบหมายให้จังหวัด คือผู้ว่าราชการฯ
และส่วนราชการต่างๆ ภายในจังหวัดเป็นผู้นำผ้ากฐินพระราชทานมาทอด ณ วัดแห่งนี้
จังหวัดจึงให้งบประมาณมาพัฒนาและปรับปรุงเสนาสนะคืออุโบสถหลังเก่า เพื่อเตรียมความพร้อมรับงานกฐิน กุฎีที่พักของพระภิกษุในวัดจะเป็นหลังเล็กๆ
พอพักอาศัยกันแดดกันฝนได้
ส่วนกุฎีของท่านเจ้าอาวาสจะหลังใหญ่
ซึ่งพิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นการสร้างสมัยที่หลวงพ่อมุมยังมีชีวิตอยู่ เพราะภายในกุฎีมีรูปวาด
และที่สำหรับพระรับญาติโยม
เสนาสนะภายในวัดโดยรวมแล้วกุฏิที่อยู่ของพระจะน้อย
อาจเป็นเพราะว่าในแต่ละปีไม่ค่อยมีพระมาจำพรรษามากนัก หรือถ้ามีก็คนในพื้นที่บวชระยะสั้นๆ
จึงไม่เน้นการสร้างกุฏิ
แต่ในด้านศาลาการเปรียญนั้นมีความพร้อม
แต่ละหลังใหญ่โตสามารถรองรับคณะผู้เดินทางจากที่อื่นที่เข้ามาทำบุญได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น